ผู้ติดตาม

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

สอบแก้ตัว

ตอนที่ 1 ในแต่ละข้อ ให้นักเรียนขีดเส้นใต้ บารมี ที่พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญในแต่ละชาติ


๑. ในชนกชดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ...วิริยบารมี...เมตตาบารมี ... อธิษฐานบารมี..
๒. ในจันทชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ..ขันติบารมี..ปัญญาบารมี...ศีลบารมี....
๓. ในสุวรรณสามชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ..ทานบารมี...เมตตาบารมี..อุเบกขาบารมี..
๔. ในเวสสันดรชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ..ขันติบารมี..สุจจบารมี..ทานบารมี..
๕. ในเตมีย์ชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ...ศีลบารมี...เนกขัมมบารมี...ปัญยาบารมี...
๖. ในเนมิราชชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ...ขันติบารมี..อธิษฐานบารมี...ปัญญาบารมี..
๗. ในนารทชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ..ศีลบารมี..อุเบกขาบารมี...ทานบารมี..
๘. ในวิทูรชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ...สัจจบารมี..เนกขัมมบารมี..ขันติบารมี..
๙. ในภูริทัตชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ..วิริยบารมี..ศีลบารมี..เมตตาบารมี..
๑0. ในมโหสถชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ..ปัญญาบารมี..สัจจบารมี..อธิษฐานบารมี..

ตอนที่ ๒ จากเรื่องพระเวสสันดรชาดก ให้นักเรียนนำข้อความต่อไปนี้เติมลงในช่องว่างให้สัมพันธ์กับเวสสันดรชาติในแต่ละกัณฑ์ 
ก. พระเวสสันดรทรงมหาสัตตสดกทาน
ข. พราหมณ์ผัวเมียยกลูกสาวคืออมิตดาให้ชูชก
ค. พรานเจตบุตรต้อนรับชูชกและได้บอกหนทางที่จะไปอาศรมฤาษี
ง. พระเวสสันดรจึงประทานให้นางมัทรี
จ. พระนางมัทรีตามหาโอรสธิดาและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์
ฉ. สี่กษัตริย์เดินทางสู่เขาวงกต
ช. พระเจ้ากรุงสีพีพระราชทานค่าไถ่คืน
ฌ. พระเวสสันดรทรงให้ทานสองโอรสแก่เฒ่าชูชก
ญ.  ชูชกใช้คารมหลอกล่อจนอจุตฤาษีให้ที่พักหนึ่งคืน
ฏ.พระเวสสันดรเสด็จกลับพระนครครองราชสมบัติปกปลอง
นครสีพีโดยทศพิธราชธรรม
ฐ. กษัตริย์ทั้งหกได้พบกันทรงกันแสงสุดประมาณ
ฑ. พระเวสสันดรพระราชทานช้างคู่บารมีชื่อช้างปัจจัยนาคให้แก่พระเจ้ากาลิง
ฒ. พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร ....ฑ....
กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์...ฒ...
กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์...ก..
กัณฑ์ที่ ๔ วนประเวศน์...ง..
กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก..ข....
กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน....จ...
กัณฑ์ที่ ๗ มหาพน....ช...
กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร...ฌ....
กัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี....ค....
กัณฑ์ที่ ๑0 สักรบรรพ...ฉ...
กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช...ญ...
กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์...ฐ....
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์....ฏ...

ตอนที่ ๓ จงตอบคำถามข้อ ๑-๒  ข้อ ๓-๔ ให้นักเรียน ขีดเส้นทับคำที่ไม่ต้องการข้อละ ๑ คำ 
๑. ใครเป็นผู้แต่งวรรณคดี เรื่อง ไตรภุมิพนะร่วง 
ตอบ.....พระมหาธรรมราชชลิไทย..
๒. พระพุทธเจ้า องค์ต่อไปในภัทรกัปนี้ ชื่ออะไร 
ตอบ...พระศรีอาร์ย...
๓. มนุสสภูมิ อยู่ในภูมิชนิดใด .. กามภูมิ.../...สุคติภูมิ../..อรูปภุมิ..
๔. นรกภูมิ และเดรัจฉานภูมิ  เป็นภูมิชนิดใด 
ทุคติภูมิ / รูปภูมิ / กามภูมิ
๕. สวรรค์ ๖ ชั้น เป็นภูมิชนิดใด
สุคภูมิ / กามภุมิ / อรูปภูมิ 

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นิทานชาดก




    โลภมากลาภหาย
           ครั้งหนึ่งสมัยพุทธกาล ณ วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ขณะพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่นั้นได้ทรงเอ่ยถึงภิกษุณีผู้หนึ่งนามว่า ถูลนันทา ผู้ไม่ประมาณตนในการบริโภคกระเทียมจนก่อความเดือดเนื้อร้อนใจแก่ชาวบ้านยิ่งนัก ได้นำอดีตนิทานขึ้นมาสาธกให้ฟังว่า…
เมื่อครั้งหนึ่งขณะพระโพธิสัตว์ได้เสวยชาติเป็นพราหมณ์ ได้มีภริยาและลูกสาว 3 นาง นามว่า นันทา, นันทวดี และสุนันทา เมื่อลูกสาวทั้งสามนั้นได้เป็นฝั่งเป็นฝาแล้วทุกนาง ฝ่ายพราหมณ์จึงเสียชีวิตลงและได้เกิดเป็นหงส์ทองคำที่มีความสามารถระลึกชาติได้
ในวันหนึ่งขณะหงส์ทองคำบินมายังบ้านของตนได้เห็นภริยาและลูกๆ ของตนนั้นมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ต้องทำงานรับจ้างผู้อื่นไปเรื่อยก็เกิดรู้สึกเวทนา จึงเข้าไปหานางพราหมณีผู้เป็นภริยาและบรรดาลูกสาวของตนแล้วเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ฟัง แล้วสลัดขนของตนให้แก่ภริยาและลูกๆ ทั้งสามไปคนละหนึ่งอันจากนั้นก็บินกลับไป และทำอยู่เช่นนี้อีกหลายครา ไม่ว่าจะมาคราวใดก็จะสลัดขนตนให้แก่ภริยาและลูกๆ ทุกครั้งไป ทำให้ทั้งภริยาและลูกๆ ของตนไม่ต้องลำบากอีกต่อไป
ต่อมาด้วยความโลภนางพราหมณีจึงบอกกับลูกๆ ตนว่า “ลูกๆ จงจำไว้นะ หากคราวนี้เจ้าหงส์ทองคำนั่นบินมาอีกเมื่อใดก็ตาม ให้จับถอนขนออกเสียให้หมดทั้งตัว แล้วเราจะได้ทองมากขึ้น” ฝ่ายลูกทั้งสามนั้นไม่เห็นด้วยกับมารดาเท่าไรนัก แต่นางพราหมณีไม่ฟัง จนเมื่อถึงวันที่หงส์ทองคำบินมาอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่หงส์ทองคำกำลังจะสลัดขนของตนให้แก่นางพราหมณีนั้น ฝ่ายนางพราหมณีรีบจับตัวหงส์นั้นไว้แล้วถอนขนออกจนหมดเกลี้ยง แต่เมื่อถอนจนหมดขนเหล่านั้นมิได้อร่ามตาเช่นเดิมกลายเป็นขนหงส์ธรรมดาเท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะหงส์ทองคำมิได้ให้ด้วยใจ
ฝ่ายนางพราหมณีนึกเสียดายหวังจะเลี้ยงหงส์ตัวนี้ไว้เพื่อรอให้ขนมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้วจะจับถอนใหม่ แต่เมื่อขนของหงส์ทองคำนี้ได้งอกกลับขึ้นมาใหม่เช่นเดิมแล้ว เจ้าหงส์ก็ได้บินหนีออกไปโดยไม่มาหานางพราหมณีและลูกๆ อีกเลย ทำให้นางพราหมณีและลูกทั้งสามจากที่กำลังร่ำรวยเป็นเศรษฐีก็เริ่มมีชีวิตตกต่ำกลับมารับจ้างผู้อื่นเช่นเดิม
พระพุทธองค์ เมื่อนำอดีตนิทานมาสาธกแล้วได้ตรัสพระคาถาว่า
   “บุคคลได้สิ่งใด ควรยินดีสิ่งนั้น เพราะความโลภเกินประมาณ เป็นความชั่วแท้ นางพราหมณี จับเอาพญาหงส์ทองแล้วจึงเสื่อมจากทองคำ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โลภมากมักลาภหาย


วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ไตรภูมิพระร่วง

 ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง เป็นพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไทซึ่งแต่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1888 โดยมีพระประสงค์ที่จะเทศนาโปรดพระมารดา และเพื่อจำเริญพระอภิธรรม ไตรภูมิพระร่วงเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถอย่างลึกซึ้ง ในด้านพุทธศาสนาของพระมหาธรรมราชาลิไทที่ทรงรวบรวมข้อความต่างๆ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา นับแต่พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษต่างๆ มาเรียบเรียงขึ้นเป็นวรรณคดีโลกศาสตร์เล่มแรกที่แต่งเป็นภาษาไทยเท่าทีมีหลักฐานอยู่ในปัจจุบันนี้
ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้งสาม คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิซึ่งมีเนื้อหาพรรณนาถึงที่อยู่ ที่ตั้ง และการเกิดของมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเทวดา ที่ตั้งเหล่านี้มีเขาพระสุเมรุเป็นหลัก เขาพระสุเมรุนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อม ทิวเขามีชื่อต่างๆดังนี้ 1. ยุคนธร 2. อิสินธร 3. กรวิก 4. สุทัศน์ 5. เนมินธร 6. วินันตก และ7.อัศกรรณ ซึ่งเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวมเรียกว่าเขาสัตตบริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ 7 ชั้น เรียกว่า มหานทีสีทันดร ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล
นรกภูมิ
นรกภูมิ มีนรกใหญ่ 8 ขุม คือ สัญชีพนรก กาลสูตนรก สังฆาฏนรก โรรุพนรก ตาปนรก มหาตาปนรก มหาอเวจีนรก มหาโรรุพนรก สัตว์ที่เกิดในนรกแห่งนี้มีอายุยืนนานนับไม่ถ้วน สัตว์นรกขุมแรกมีอายุยืนได้ 500 ปี (1 วันกับ 1 คืนของเมืองนรกเท่ากับ 9 ล้านปีของเมืองมนุษย์) ส่วนสัตว์นรกที่อยู่ขุมถัดไปมีอายุนับทวีคูณจำนวนปีของขุมนรกแรก
นรก 8 ขุมนี้ มีกำแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอล้อมเป็นสี่เหลี่ยม พื้นบนและพื้นล่างก็เป็นเหล็กแดงที่ลุกเป็นไฟ กำแพงทั้ง 4 ด้าน ยาวด้านละ 1,000 โยชน์ หนา 9 โยชน์ มีประตูเข้า 4 ประตู ส่วนพื้นบนและพื้นล่างมีความหนา 9 โยชน์ นรกใหญ่แต่ละขุมมีนรกบริวารหรือนรกบ่าวล้อมอยู่ด้านละ 4 ขุม นรกใหญ่ขุมหนึ่งจึงมีนรกบ่าว 16 ขุม นรกใหญ่ 8 ขุมจึงมีนรกบ่าวทั้งหมด 136 ขุม และก็มีนรกเล็กๆ น้อยๆ อีกจำนวนนับไม่ถ้วน นรกบ่าวทั้ง 16 ขุมรวมเรียกชื่อว่า อุสุทธ (อุสสทนรก) นรกโลกันต์
ยมบาล หรือผู้ดูแลนรกเฝ้าประตูนรกไว้ มีพระยายมราชเป็นผู้ทรงธรรมเที่ยงตรงเป็นใหญ่เหนือยมบาลทั้งหลาย หน้าที่ของพระยายมราชคือสอบสวนบุญบาปของมนุษย์ที่ตายไป หากทำบุญก็จะได้ขึ้นสวรรค์ทำบาปก็จะตกนรก


ติรัจฉานภูมิ
ติรัจฉานติภูมิ หรือเดรัจฉานติภูมิ คือแดนของเดียรฉาน แปลว่าตามขวางหรือตามเส้นนอนตรงกันข้ามกับคนซึ่งไปตัวตรง ดังนั้นสัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงสัตว์ที่ไปไหนมาไหนต้องคว่ำอก
สัตว์อันเกิดมาในแดนเดรัจฉานว่า มีเกิดจากไข่ (อัณฑชะ) จากมีรกอันห่อหุ้ม(ชลาพุชะ) จากใบไม้และเหงื่อไคล(สังเสทชะ) เกิดเป็นตัวขึ้นเองและโตทันที(อุปปาติกะ) สัตว์เดรัจฉานนั้นมีความเป็นอยู่ 3 ประการ คือ รู้สืบพันธุ์ รู้กิน รู้ตาย เรียกเป็นศัพท์ว่า กามสัญญา อาหารสัญญา และมรณสัญญา ส่วนคนนั้นเพิ่มอีกสัญญาหนึ่งคือ ธธมสัญญา คือรู้จักการทำมาหากิน รู้บาปบุญ หรือตรงกับคำว่าวัฒนธรรมนั้นเอง สัตว์ที่กล่าวในแดนเดรัจฉานหลักๆก็มีดังนี้
ราชสีห์ เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับสิงโต ไม่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้แต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวรรณคดี
  • ช้างแก้ว อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองว่ากันว่าพระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเคยไปเกิดเป็นช้างนี้อยู่หนึ่งชาติ
  • ปลา ในแดนเดรัจฉานนี้ปลาที่อาศัยอยู่ที่นี้จะมีขนาดใหญ่มาก ตัวที่เล็กสุดก็ยังยาวถึง 75 โยชน์ ตัวที่ใหญ่ก็ยาวถึง 5,000 โยชน์ ปลาที่รู้จักกันดีคือ พญาปลาอานนท์ ซึ่งหนุนชมพูทวีปอยู่
  • ครุฑ อาศัยอยู่ที่ตามฝั่งสระใหญ่ชื่อสิมพลีสระที่ตีนเขาพระสุเมรุหรือสระต้นงิ้ว กว้างได้ 500 โยชน์ พระยาครุฑที่เป็นหัวหน้าตัวโต 50 โยชน์ ปีกยาวอีก 50 โยชน์ ปากยาว 9 โยชน์ ตีนทั้งสองยาว 12 โยชน์ ครุฑกินนาคเป็นอาหาร และเป็นพาหนะของพระนารายณ์
  • นาค หรืองูมีหงอนและมีตีน นาคมีสองชนิด คือ ถลชะ หรือนาคที่เกิดบนบก และ ชลชะ หรือนาคที่เกิดในน้ำ นาคถลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่บนบก นาคชลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่ในน้ำเท่านั้น
  • หงส์ อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองบนเขาคิชฌกูฏหรือเขายอดนกแร้ง หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม

เปรตภูมิ
เปรตเป็นผีเลวชนิดหนึ่ง ในไตรภูมิบรรยายรูปร่างของเปรตไว้ว่า เปรตบางชนิดมีตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม เปรตบางชนิดก็ตัวผอมไม่มีเนื้อหนังมังสา ตาลึกกลวง และร้องไห้ตลอดเวลา แต่ก็มีเปรตบางชนิดที่ตัวงามเป็นทอง แต่ปากเป็นหมูและเหม็นมาก สรุปรวมๆแล้วก็คือเมื่อตอนเป็นคนแล้วทำบาปอย่างใดเมื่อตายไปก็จะเป็นเปรตตามที่ทำบาปไว้

อสูรกายภูมิ
อสูร แปลตรงตัวว่า ผู้ไม่ใช่สุระหรือไม่ใช่พวกเทวดาที่มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า เดิมพวกอสูรมีเมืองอยู่บนเขาพระสุเมรุหรือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง ภายหลังพวกเทวดาคิดอุบายมอมเหล้าพวกอสูรเมาจนไม่ได้สติ แล้วพวกเทวดาก็ช่วยกันถีบอสูรให้ตกเขาพระสุเมรุดิ่งจมลงใต้ดิน เมื่ออสูรสร่างเมาได้สติแล้วก็สำนึกตัวได้ว่า เป็นเพราะกินเหล้ามากจนเมามายจึงต้องเสียบ้านเมืองให้กับพวกเทวดาจึงเลิกกินเหล้าแล้วไปสร้างเมืองใหม่ใต้บาดาลเรียกว่า อสูรภพ

พวกอสูรกายมีบ้านเมืองเป็นของตนเอง เรียกว่าอสูรภพ อยู่ลึกใต้ดินไป 84,000 โยชน์ เป็นบ้านเมืองงดงามมากเต็มไปด้วยแผ่นทองคำ คือบ้านเมืองของอสูรนี้จะมีเหมือนสวรรค์ของเทวดา เช่น กลางสวรรค์มีต้นปาริชาติกลางเมืองอสูรก็มีต้นแคฝอย เมืองอสูรมีเมืองใหญ่อยู่ 4 เมืองโดยมีพระยาอสูรปกครองอยู่ทุกเมือง ในบรรดาอสูรมีอยู่ตนหนึ่งมีอำนาจมากชื่อว่า ราหู
อสูรราหูมีหน้าตาหัวหูที่ใหญ่โตมากกว่าเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ ราหูมีความเกลียดชังพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก ในวันพระจันทร์เต็มดวงหรือวันเดือนงามและวันเดือนดับ ราหูจะขึ้นไปนั่งอยู่บนเขายุคนธรอันเป็นทิวเขาทิวแรกที่ล้อมเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวดา ราหูจะคอยให้พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ผ่านมา เพื่อที่จะคอยอ้าปากอันกว้างใหญ่อมเอาพระจันทร์หรือพระอาทิตย์หายลบไป บางครั้งก็เอานิ้วมือบังไว้บ้าง เอาไว้ใต้คางบ้าง เหตุการณ์เหล่านี้เรียกกันว่า สุริยคราสและจันทรคราส
มนุษยภูมิ
ฝูงสัตว์อันเกิดในมนุษยภูมิ มีกำเนิดดังนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิในครรภ์มารดาก็เริ่มก่อตัวเป็นกัลละ กัลละมีรูปร่างโปร่งเหลวเหมือนน้ำหรือเหมือนเมือกตม เป็นคำที่ใช้เฉพาะสิ่งที่ห่อหุ้มก่อกำเนิดเป็นคนเท่านั้น กัลละที่ก่อเป็นตัวเด็กขึ้นมานี้ตามวิทยาศาสตร์กล่าวเรียกว่า 'cell' เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดกลายเป็นตัวเด็กขึ้นนั่งกลางท้องแม่และเอาหลังมาชนท้องแม่ มีสายสะดือเป็นตัวส่งอาหารที่แม่กินเข้าไปให้แก่เด็ก เด็กที่นั่งอยู่กลางท้องแม่นั้นจะนั่งอยู่เวลาประมาณ 8-10 เดือน แล้วจึงคลอดจากท้องแม่
บุตรที่เกิดมาในไตรภูมิแบ่งได้เป็น 3 สิ่ง คือ
  • อภิชาตบุตร เป็นคนเฉลียวฉลาดมีรูปงามหรือมั่งมียศยิ่งกว่าพ่อแม่
  • อนุชาตบุตร มีเพียงพ่อแม่
  • อวชาติบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่
  • คนทั้งหลายก็แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ
    • ผู้ที่ทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบาปนั้นตามทันต้องถูกตัดตีนสินมือและทุกข์โศกเวทนานักหนา พวกนี้เรียกว่า "คนนรก"
    • ผู้หาบุญจะกระทำบ่มิได้ และเมื่อแต่ก่อนและเกิดมาเป็นคนเข็ญใจยากจนนักหนา อดอยากไม่มีกิน รูปโฉมก็ขี้เหร่ พวกนี้เรียกว่า "คนเปรต"
    • คนที่ไม่รู้จักบาปและบุญ ไม่มีความเมตตากรุณา ไม่มีความยำเกรงผู้ใหญ่ ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่รักพี่รักน้อง กระทำบาปอยู่ร่ำไป พวกนี้ท่านเรียกว่า "คนเดรัจฉาน"
    • คนที่รู้จักบาปและบุญ รู้กลัวรู้ละอายแก่บาป รู้รักพี่รักน้อง รู้กรุณาคนยากจนเข็ญใจ และรู้จักยำเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ครูอาจารย์ และรู้จักคุณแก้ว 3 ประการ คือ พระรัตนตรัย พวกนี้ท่านเรียกว่า "มนุษย์"

  • พระยาจักรพรรดิราช
  • พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวง คือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้รอบโลกโดยปราศจากการขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นคนแต่ทำบุญไว้มากเมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์ ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยาที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการเป็นเจ้านายคนทั้งหลายพระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม พระยาจักรพรรดิราชมีแก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วย ได้แก่
  • 1. จักรแก้ว คือแก้วอย่างที่หนึ่ง จักรแก้วหรือจักรรัตน์จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกได้ 84,000 โยชน์ เมื่อเกิดจักรพรรดิราชขึ้นในโลก จักรแก้วซึ่งเป็นคู่บุญบารมีและจมอยู่ในมหาสมุทรก็จะผุดขึ้นมาจากท้องทะเลพุ่งขึ้นไปในอากาศเกิดเป็นแสงส่องอันงดงามมาน้อมนบ เมื่อพระยาผู้ครองเมืองนั้นทราบว่าพระองค์จะได้เป็นพระยาจักรพรรดิราชปราบทั่วจักรวาลเพราะมีจักรแก้วมาสู่พระองค์ พระยาจักรพรรดิราชก็จะเสด็จปราบทวีปทั้งสี่ 
  • 2.ช้างแก้ว (หัสดีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สอง ซึ่งเป็นช้างที่มีความงดงาม ตัวเป็นสีขาว ตีนและงวงสีแดง เหาะได้รวดเร็ว
  • 3.ม้าแก้ว (อัศวรัตน์) คือแก้วอย่างที่สาม เป็นม้าที่มีขนงามดังสีเมฆหมอก กีบเท้าและหน้าผากแดงดั่งน้ำครั่ง เหาะได้รวดเร็วเช่นเดียวกับช้างแก้ว
  • 4. แก้วดวง (มณีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สี่ เป็นแก้วที่มีขนาดยาวได้ 4 ศอก ใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่ สองหัวแก้วมีดอกบัวทอง เมื่อมีความมืดแก้วนี้จะส่องสว่างให้เห็นทุกหนแห่งดังเช่นเวลากลางวัน แก้วนี้จะอยู่กับพระยาจักรพรรดิราชจนตราบเท่าเสด็จสวรรคาลัย จึงจะคืนไปอยู่ยอดเขาพิปูลบรรพตตามเดิม
  • 5. นางแก้ว (อิตถีรัตน์) คือแก้วอย่างที่ห้า เป็นหญิงที่จะมาเป็นมเหสีคู่บารมีของพระยาจักรพรรดิราช นางแก้วนี้จะต้องเป็นหญิงที่ได้ทำบุญมาแต่ชาติก่อน และมาเกิดในแผ่นดินของพระยาจักรพรรดิราชในตระกูลกษัตริย์ นางแก้วนี้จะเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงามไปทุกส่วน จะทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของพระยาจักรพรรดิราช
  • 6.ขุนคลังแก้ว คือแก้วอย่างที่หก เกิดขึ้นเพื่อบุญแห่งพระยาจักรพรรดิราช และจะเป็นมหาเศรษฐี ขุนคลังแก้วจะสามารถกระทำได้ทุกอย่างที่พระยาจักรพรรดิราชต้องการเพราะขุนคลังแก้วมีหูทิพย์ตาทิพย์ดังเทวดาในสวรรค์ หากว่าพระยาจักรพรรดิราชต้องการทรัพย์สินสิ่งใดขุนคลังก็จะสามารถนำมาถวายได้
    7.  ลูกแก้ว คือแก้วประการสุดท้ายของพระยาจักรพรรดิราช หรือโอรสของพระยาจักรพรรดิราช มีรูปโฉมอันงดงาม กล้าหาญ เฉลียวฉลาด สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ทุกประการ บางตำราก็ว่าเป็นขุนพลแก้ว
  • ฉกามาพจรภูมิ
  • คือดินแดนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ได้แก่ จาตุมหาราชิกภูมิ ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี
    สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นแรก สูงจากพื้นโลกได้ 46,000 โยชน์ จาตุมหาราชิกภูมิ แปลว่าแดนแห่ง 4 มหาราช สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่เหนือเทือกเขายุคนธรอันเป็นเทือกเขาแรกที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ บนเทือกเขายุคนธรทั้ง 4 ทิศ มีเมืองใหญ่ 4 เมือง เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุมีท้าวธตรฐเป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือคนธรรพ์ (เป็นอมนุษย์จำพวกหนึ่ง ครึ่งเทวดาครึ่งมนุษย์ เป็นนักดนตรีและชอบผู้หญิง) เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุมีท้าววิรูปักษ์เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือนาค เมืองที่อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุมีท้าววิรุฬหกเป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือพวกกุมภัณฑ์ (เป็นยักษ์จำพวกหนึ่ง มีท้องใหญ่และมีอัณฑะเหมือนหม้อ) เมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุมีท้าวไพศรพเป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือพวกยักษ์ ท้าวมหาราชทั้ง 4 นี้เรียกรวมๆว่า จตุโลกบาลทั้ง 4 คือผู้ดูแลรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ
  • สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 สูงจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิได้ 46,000 โยชน์ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นตั้งอยู่เหนือจอมเขาพระสุเมรุ มีนครไตรตรึงส์อยู่ตรงกลางสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นเมืองของพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย เมืองพระอินทร์กว้างได้ 8,000,000 วา มีปรางค์ปราสาทแก้ว มีกำแพงแก้ว มีประตูทองประดับด้วยแก้ว 7 ประการ เมื่อเปิดประตูจะได้ยินเสียงดนตรีไพเราะ กลางนครไตรตรึงส์นี้มีไพชยนต์วิมานหรือปราสาทที่ประทับของพระอินทร์ สูง 25,600,000 วา ประดับด้วยสัตตพิพิธรัตนะหรือแก้ว 7 ประการที่งดงามมาก ไพชยนต์วิมานนั้นประกอบด้วยเชิงชั้นชาลา 100 ชาลา แต่ละชาลามีวิมานได้ 700 วิมาน วิมานหนึ่งมีนางอัปสร 7 คน นอกจากพระอินทร์ที่เป็นเจ้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ยังมีเทวดาอีก 32 พระองค์ครองเมือง 32 เมืองอยู่รอบนครไตรตรึงส์นี้ทิศละ 8 องค์
  • ทางทิศตะวันออกของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีสวนขวัญชื่อ นันทอุทยาน มีต้นไม้ดอกไม้วิเศษ เป็นที่เล่นสนุกของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ใกล้อุทยานมีสระใหญ่ชื่อ นันทาโบกขรณี และจุลนันทาโบกขรณี น้ำในสระทั้งสองนี้ใสงามดังแก้วอินทนิล ริมฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อ นันทาปริถิปาสาณ และจุลนันทาปาริถิปาสาณ เป็นแผ่นศิลาที่มีรัศมีรุ่งเรือง
  • ทางทิศใต้ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อ ผรุสกวัน แปลว่าสวนมะปราง มีสระใหญ่ชื่อภัทราโบกขรณี และสุภัทราโบรขรณี ที่ฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อภัทราปริถิปาสาณ และสุภัทราปริถิปาสาณ
    ทางทิศตะวันตกของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อ จิตรลดาวัน แปลว่างามไปด้วยไม้เถา มีสระใหญ่ชื่อจิตรโบกขรณี และจุลจิตรโบรขรณี ที่ฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อจิตรปปาสาณ และจุลจิตรปาสาณ
    ทางทิศเหนือของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อ สักกวัน มีสระใหญ่ชื่อธรรมาโบกขรณี และสุธรรมาโบกขรณี ที่ฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อธรรมาปริถิปาสาณ และสุธรรมาปริถิปาสาณ
    ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อบุณฑริกวัน มีไม้ทองหลางใหญ่ชื่อปาริชาติกัลปพฤกษ์ ใต้ต้นกัลปพฤกษ์มีแท่นศิลาแก้วชื่อ บัณฑุกัมพล เป็นแท่นสีแดงเข้มดังดอกชบาและอ่อนดังฟูกผ้า ใกล้กันมีศาลาสุธรรมเทพสภาเป็นที่ประชุมและฟังธรรมของเทวดา
    ทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีเจดีย์จุฬามณี เป็นเจดีย์ประดับด้วยทองและแก้ว 7 ประการ มีกำแพงทอง 4 ด้าน ประดับด้วยธงประฏาก (ธงเป็นผืนห้อยยาวลงมาอย่างธงจรเข้) ธงไชย และกลดชุมสาย (กลดทำด้วยผ้าตาดทองมีสายห้อยเป็นระย้าอยู่รอบๆ) มีเทวดาประโคมดนตรีถวายพระเจดีย์อยู่เสมอ พระอินทร์ก็เสด็จมายังเจดีย์จุฬามณีนี้บ่อยๆ
    สวรรค์ชั้นยามา เป็นสวรรค์ชั้นที่ 3 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 84,000 โยชน์ มีพระยาสยามเทวราชครองอยู่ สวรรค์ชั้นนี้สูงกว่าวิถีการโคจรของพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่มืดเนื่องจากรัศมีแก้วและรัศมีตัวเทวดาส่องสว่างอยู่เสมอ
    สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นยามา 168,000 โยชน์ มีพระยาสันดุสิตเทวราช พระโพธิสัตว์ซึ่งจะเสด็จลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า มีพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
    สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 5 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิต 336,000 โยชน์
    สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ มีพระยาปรนิมมิตวสวัตตีครองอยู่
    พรหมโลก
    อยู่เหนือสวรรค์ชั้นสูงสุด มี 2 ประเภท คือ รูปพรหม (รูปาวจร) มี 16 ชั้น และอรูปพรหม (อรูปาวจร) มี 4 ชั้น

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทศชาติชาดก

ทศชาติชาดก


ชาดก เป็นเรื่องที่มีมาก่อนพุทธกาล เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ หรือ เป็นชีวประวัติในชาติก่อนของพระพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้ นั่นเอง
          ชาดก เป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก แต่มีความหมายแตกต่างจากนิทานที่เล่ากันทั่วไป คือ ชาดกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่นิทานเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
          ชาดกที่ทรงเล่านั้นมีนับพันเรื่อง หมายถึง พระองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์นับพันชาติ โดยทรงเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง แต่ที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ ๑๐ ชาติสุดท้ายที่เรียกว่า ทศชาติชาดก และชาติสุดท้ายที่สุดที่ทรงเกิดเป็นพระเวสสันดร จึงเรียกเรื่องพระเวสสันดรนี้ว่า เวสสันดรชาดก
ประเภทของชาดก

ชาดกมี 2 ประเภท  คือ
          1. นิบาตชาดก   เป็นชาดกในพระไตรปิฎกมี 500 เรื่อง   แบ่งออกเป็นหมวดๆ  ตามจำนวนคาถา   นับตั้งแต่ 1 คาถาถึง 80 คาถา   ชาดกที่มี 1 คาถาเรียกว่า เอกนิบาตชาดก   2 คาถาเรียกว่า  ทุกนิบาตชาดก  3 คาถาเรียกว่า ตักนิบาตชาดก  4 คาถาเรียกว่า  จตุคนิบาตชาดก  5 คาถาเรียกว่า  ปัญจกนิบาตชาดก  ชาดกที่มีเกิน 80 คาถาขึ้นไปเรียกว่า  มหานิบาตชาดก  ซึ้งมี 10 เรื่อง  เรียก  ทศชาติ  หรือ  พระเจ้าสิบชาติ
          2. ปัญญาสชาติชาดก   เป็นชาดกที่แต่งขึ้นจากนิทานพื้นเมือง  ไม่มีในพระไตรปิฎก  หรือเรียกว่า  ชาดกนิบาตมี 50 เรื่อง  พระภิกษุชาวเชียงใหม่แต่งขึ้นเมื่อประมาณพ.ศ. 2000-2200  เป็นภาษามคธ  โดยเลียนแบบนิบาตชาดก  ครั้นเมื่อพ.ศ.2443-2448  พระบรมวงศ์เธอกรมพระสมมตอมรพันธ์  ดำรงตำแหน่งองค์สภานายก  หอพระสมุดสำหรับพระนคร  ได้ทรงแปลเป็นภาษาไทย  เรื่องปัญญสชาดกจึงแพร่หลาย
๑. เตมียชาดก(พระเตมีย์ใบ้)

   
ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญเนกขัมมบารมีคือการออกบวชหรือออกจากกาม  เล่าเรื่องเตมียราชกุมารเกรงการที่จะได้ครองราชสมบัติเพราะทรงสลด พระหฤทัยที่เห็นราชบุรษลงโทษโจรตามพระราชดำรัสของพระราชา เช่นเฆี่ยนพันครั้งบ้าง เอาหอกแทงบ้าง เอาหลาวเสียบบ้างจึงใช้วิธีแสร้งทำเป็นง่อยเปลี้ย หูหนวก เป็นใบ้ไม่พูดจากับใคร    แม้จะถูกทดลองต่าง ๆก็อดกลั้นไว้   ไม่ยอมแสดงอาการพิรุธให้ปรากฏ ทั้งนี้เพื่อจะเลี่ยงการครองราชสมบัติพระราชาปรึกษาพวกพรากมณ์ ก็ได้รับคำแนะนำใหนำราชกุมารไปฝังเสีย.
   พระราชมารดาทรงคัดค้านไม่สำเร็จ   ก็ทูลขอให้พระราชกุมารครองราชสัก  ๗  วัน แต่พระราชกุมารก็ไม่ยอมพูด    ต่อเมื่อ  ๗  วันแล้ว สารถีนำราชกุมารขึ้นสู่รถ เพื่อจะฝังตามรับสั่งพระราชา        ขณะที่ขุดหลุ่มอยู่พระราชกุมารก็เสด็จลงจากรถ     ตรัสปราศัยกับนายสารถี    แจ้งความจริงให้ทราบว่า    มีพระประสงค์จะออกบวช สารถีเลื่อมใสในคำสอนขอออกบวชด้วยจึงตรัสให้นำรถกลับไปคืนก่อน สารถีนำความไปเล่าถวายพระราชมารดาพระราชบิดาให้ทรงทราบ.
   
ทั้งสองพระองค์พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารจึงได้เสด็จออกไปหาเชิญให้พระราชกุมารเสด็จกลับไปครองราชสมบัติแต่พระราชกุมารกลับถวายหลักธรรมให้ยินดี ในเนกขัมมะ    คือการออกจากกาม.  พระชนกชนนีพร้อมด้วยบริวารทรงเลื่อมใสในคำสอน    ก็เสด็จออกผนวชและบวชตาม.   และได้มีพระราชาอื่นอีกเป็นอันมาก สดับพระราชโอวาทขอออกผนวชตาม.
 ๒. มหาชนกชาดก(พระมหาชนก)

   ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญวิริยบารมี  คือความพากเพียร ใจความสำคัญ คือพระมหาชนกราชกุมารเดินทางไปทางทะเลเรือแตก คนทั้งหลายจมน้ำตายบ้าง เป็นเหยี่อของสัตว์น้ำบ้าง      แต่ไม่ทรงละความอุตสาหะ        ทรงว่ายน้ำโดยกำหนดทิศทางแห่งกรุงมิถิลา    ในที่สุดก็ได้รอดชีวิตกลับไปถึงกรุงมิถิลาได้ครองราชสมบัติ.ชาดกเรื่องนี้เป็นที่มาแห่งภาษิตที่ว่าเป็นชายควรเพียรร่ำไปอย่างเบื่อหน่าย ( ความเพียร ) เสีย,เราเห็นตัวเองเป็นได้อย่างที่ปรารถนา,ขึ้นจากน้ำมาสู่บกได้   
๓. สุวรรณสามชาดก(สุวรรณสาม)    

   ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญเมตตาบารมีคือการแผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า  มีเรื่องเล่าว่า สุวรรณสามเลี้ยงมารดาบิดาของตน ซึ่งเสียจักษุในป่าและเนื่องจากเป็นผู้มีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่นหมู่เนื้อก็เดินตามแวดล้อมไปในที่ต่าง ๆ วันหนึ่งถูกพระเจ้ากรุงพาราณสีชื่อปิลยักษ์ยิงเอาด้วยธนู ด้วยเข้าพระทัยผิดภายหลังเมื่อทราบว่าเป็นมาณพผู้เลี้ยงมารดาบิดา ก็สลดพระทัยจึงไปจูงมารดาบิดาของสุวรรณสามมา.
   มารดาบิดาของสุวรรณสามก็ตั้งสัจจกิริยาอ้างคุณความดีของสุวรรณสามขอให้พิษของศรหมดไป สุวรรณสามก็ฟื้นคืนสติและได้สอนพระราชา แสดงคติธรรมว่า ผู้ใดเลี้ยงมารดาบิดาโดยธรรมแม้เทวดาก็ย่อมรักษาผู้นั้น ย่อมมีคนสรรเสริญในโลกนี้ละโลกนี้ไปแล้วก็บันเทิงในสวรรค์ ต่อจากนั้นเมื่อพระราชาให้สั่งสอนต่อไปอีกก็สอนให้ทรงปฏิบัติธรรมปฏิบัติชอบในบุคคลทั้งปวง.
๔ . เนมิราชชาดก(พระเนมิราช)

   ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญอธิษฐานบารมีคือความตั้งมั่นคง.  มีเรื่องเล่าว่าเนมิราชกุมารได้ครองราชสืบสันตติวงศ์ต่อจากพระราชบิดาทรงบำเพ็ญคุณงาม ความดีเป็นที่รักของมหาชน และในที่สุดเมื่อทรงพระชราก็ทรงมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรสเสด็จออกผนวชเช่นเดียวกับที่พระราชบิดาของพระองค์เคยทรงบำเพ็ญมา.
   ๕ . มโหสถชาดก(พระมโหสถ)

  ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญปัญญาบารมีคือความทั่วถึงสิ่งที่ควรรู้.  มีเรื่องเล่าว่ามโหสถบัณฑิตเป็นที่ปรึกษาหนุ่มของพระเจ้าวิเทหะแห่งกรุงมิถิลา  ท่านมี ความฉลาดรู้สามารถแนะนำในปัญหาต่าง ๆ  ได้อย่างถูกต้องรอบคอบ  เอาชนะที่ปรึกษาอื่น ๆที่ริษยาใส่ความ   ด้วยความดีไม่พยาบาทอาฆาตครั้งหลังใช้อุบายป้องกัน พระราชาจากราชศัตรูและจับราชศัตรูซึ่งเป็นกษัตริย์พระนครอื่นได้.
๖ . ภูริทัตชาดก(พระภูริฑัต)

   ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญบำเพ็ญศีลบารมีคือการรักษาศีล.  มีเรื่องเล่าว่า  ภูริฑัตตนาคราชไปจำศีลอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา.   ยอมอดทนให้หมองูจับไป ทรมานต่าง ๆทั้ง ๆ ที่สามารถจะทำลายหมองูได้ด้วยฤทธิ์ มีใจมั่นต่อศีลของตนในที่สุดก็ได้อิสรภาพ.
๗ . จันทกุมารชาดก(พระจันทราช )
   ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญขันติบารมีคือความอดทน   มีเรื่องเล่าว่า   จันทกุมารเป็นโอรสของพระเจ้าเอกราช เคยช่วยประชาชนให้พ้นจากคดี   ซึ่ง กัณฑหาลพราหมณ์ราชปุโรหิตาจารย์รับสินบนตัดสินไม่เป็นธรรม ประชาชนก็พากันเลื่อมใสเปล่งสาธุการทำให้กัณฑหาลพราหมณ์ผูกอาฆาตในพระราชกุมาร.
   เมื่อพระเจ้าเอกราชทรงราชสุบิน  เห็นดาวดึงสเทวโลกเมื่อตื่นจากบรรทมทรงใคร่จะทราบทางไปสู่เทวโลก  ตรัสถามกัณฑหาลพราหมณ์จึงเป็นโอกาสให้พราหมณ์ แก้แค้นด้วยการกราบทูลแนะนำให้ตัดพระเศียรพระโอรส ธิดาเป็นต้นบูชายัญ.
   พระเจ้าเอกราชเป็นคนเขลา ก็สั่งจับพระราชโอรส ๔ พระองค์ พระราชธิดา ๔ พระองค์ไปที่พระลานหลวง  เพื่อเตรียมประหารบูชายัญ นอกจากนั้นยังสั่งจับพระมเหสี ๔ พระองค์และคนอื่น ๆ อีก เพื่อเตรียมการประหารเช่นกัน แม้ใครจะทัดทานขอร้องก็ไม่เป็นผล.ร้อนถึงท้าวสักกะ ( พระอินทร์) ต้องมาข่มขู่และชี้แจงให้หายเข้าใจผิด ว่าวิธีนี้ไม่ใช่ทางไปสวรรค์ .มหาชนจึงรุมฆ่าพราหมณ์ปุโรหิตนั้นและเนรเทศพระเจ้าเอกราชแล้วกราบทูลเชิญจันทกุมารขึ้นครองราชย์.
๘ . นารทชาดก(พระพรหมนารท)

    ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญอุเบกขาบารมีคือการวางเฉย. มีเรื่องเล่าว่าพรหมนารทะช่วยเปลื้องพระเจ้าอังคติราชให้กลับจากความเห็นผิด  มามีความเห็น ชอบตามเดิม(ความเห็นผิดนั้น เป็นไปในทางว่าสุขทุกข์เกิดเองไม่มีเหตุ คนเราเวียนว่ายตายเกิดหนักเข้าก็บริสุทธิ์ได้เอง ซึ่งเรียกว่าสังสารสุทธิ) .
๙ . วิฑูรชาดก(พระวิธูร)

    ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญสัจจบารมีคือความสัตย์. มีเรื่องเล่าว่าถึงวิฑูรบัณฑิต     ซึ่งเป็นผู้ถวายคำแนะนำประจำราชสำนัก    พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ เป็นผู้ที่พระราชาและประชาชนรักใคร่เคารพนับถือมากครั้งหนึ่งปุณณกยักษ์มาท้าพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะเล่นสกาถ้าตนแพ้จักถวายมณีรัตนะอันวิเศษ ถ้าพระราชาแพ้ ก็จะพระราชทานทุกสิ่งที่ต้องการเว้นแต่พระกายของพระองค์ ราชสมบัติ และพระมเหสี
   ในที่สุดพระราชาแพ้    ปุณณกยักษ์จึงทูลขอตัววิฑูรบัณฑิตพระราชาจะไม่พระราชทานก็เกรงเสียสัตย์  พระองค์ตีราคาวิฑูรบัณฑิตยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองใด ๆทรงหน่วงเหนี่ยวด้วยประการต่าง ๆแต่ก็ตกลงกันไปไต่ถามให้วิฑูรบัณฑิตตัดสินวิฑูรบัณฑิตก็ตัดสินให้รักษาสัตย์ คือตนเองยอมไปกับยักษ์ความจริงยักษ์ต้องการ เพียงเพื่อจะนำหัวใจของวิฑูรบัณฑิตไปแลกกับธิดาพญานาค    ซึ่งความจริงเป็นอุบายของภริยาพญานาคผู้ใคร่จะได้สดับธรรมของวิฑูรบัณฑิต    จึงตกลงกับสามีว่า ถ้าปุณณกยักษ์ต้องการธิดาของตน ก็ขอให้นำหัวใจของวิฑูรบัณฑิตมา.
   แม้ยักษ์จะหาวิธีทำให้ตายก็ไม่ตาย   วิฑูรบัณฑิตกลับแสดงสาธุนรธรรม   (ธรรมของคนดี)   ให้ยักษ์เลื่อมใสและได้แสดงธรรมแก่พญานาค   ในที่สุดก็ได้กลับสู่ กรุงอินทปัตถ์ มีการฉลองรับขวัญกันเป็นการใหญ่.
   ๑๐ . เวสสันดรชาดก(พระเวสสันดร)

   ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญทานบารมีคือบริจากทาน.  มีเรื่องเล่าถึงพระเวสสันดรผู้ใจดีบริจากทุกอย่างที่มีคนขอครั้งหนึ่งประทานช้างเผือกคู่บ้านคู่เมือง แก่พราหมณ์ชาวกาลิงคะ ซึ่งมาขอช้างไปเพื่อให้หายฝนแล้ง    แต่ประชาชนโกรธขอให้เนรเทศพระราชบิดา  จึงจำพระทัยเนรเทศ    ซึ่งพระนางมัทรีพร้อมด้วยโอรส ธิดาได้ตามเสด็จไปด้วย
   เมื่อชูชกไปขอสองกุมาร ก็ประทานอีกภายหลังพระเจ้าสญชัยพระราชบิดาทรงไถ่สองกุมาร แล้วเสด็จไปรับกลับกรุง.(เรื่องนี้แสดงการเสียสละส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่คือการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อันจะเป็นทางให้ได้บำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมได้ดียิ่ง


คำถาม
1.ข้อใดมีความหมายเกี่ยวข้องกัน
ตอบ ทศชาติชาดก – พระเจ้าสิบชาต
2.คำว่า " พระอนุชา "  หมายถึงผู้ใด
ตอบ พระโปลชนก
3.ข้อใดเป็นคุณลักษณะของพราหมณ์ทิศาปาโมกข์
ตอบ มีความเมตตา
4.การที่พระอรัฐชนกหลงเชื่อคำยุยงของอำมาตย์แล้วจับพระโปลชนกไปจองจำ  โดยไม่มีการสอบสวนตรงกับสำนวนไทยว่าอย่างไร
ตอบ หูเบา
5. การกระทำของอำมาตย์ตรงกับสำนวนไทยว่าอย่างไร
ตอบ ยุให้รำ  ตำให้รั่ว