ผู้ติดตาม

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สารคดีท่องเทียว



บั้งไฟพญานาค


เรื่องราวของสัตว์ในตำนานเกี่ยวกับพญางูใหญ่ มีหงอนที่บริเวณส่วนหัว หรือ ที่เรียกกันทั่วไปว่า พญานาค นั้นยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่มีใครกล้าพิสูจน์ พญานาคเป็นความเชื่อของคนในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็น สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นได้อย่างไร?


พญานาค ที่วัดอาฮงศิลาวาส จ.บึงกาฬ


บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นได้อย่างไร?

บั้งไฟพญานาค  เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขง เห็นได้จากทั้งฝั่งไทยและลาว ลักษณะเป็นลูกกลมเรืองแสงลอยขึ้นจากน้ำขึ้นไปในอากาศ จำนวนลูกไฟมีรายงานระหว่างหลายสิบถึงหลายพันลูกต่อคืน บั้งไฟพญานาคเกิดช่วงวันออกพรรษาของทุกปี
บั้งไฟพญานาคยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่ชัด แต่มีคำอธิบายสามแนวทาง คือ เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติตามตำนาน เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเป็นการกระทำของมนุษย์


พญานาค ที่วัดอาฮงศิลาวาส จ.บึงกาฬ



บริเวณที่เกิดบั้งไฟพญานาค

ตำแหน่งที่บั้งไฟพญานาคมักจะปรากฏให้เห็นว่า ทั่วทั้งจังหวัดหนองคาย มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 จุด โดยในจังหวัดหนองคายเกิดขึ้นหลายจุด แต่จุดที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีผู้พบเห็นบ่อยครั้งเริ่มจากที่อำเภอสังคม บริเวณ อ่างปลาบึกบ้านผาตั้ง บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคม ต่อมาที่บริเวณ วัดหินหมากเป้งอำเภอศรีเชียงใหม่
ถัดจากนั้นก็จะพบในเขตอำเภอเมืองบ้านหินโงม ตำบลหินโงม อำเภอเมืองหนองคาย หน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ตำบลบ้านเดื่อ อำเภอเมืองหนองคาย พอเข้าสู่เขต อำเภอโพนพิสัยก็จะพบแทบจะตลอดลำน้ำโขง ตั้งแต่ปากห้วยหลวง ตำบลห้วยหลวง ในเขตเทศบาลตำบลจุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง หนองสรวง เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ตำบลกุดบง บ้านหนองกุ้ง ซึ่งที่อำเภอโพนพิสัยจะพบมากที่สุด แล้วมาพบอีกที่อำเภอรัตนวาปี บริเวณ ปากห้วยเป บ้านน้ำเป วัดเปงจาเหนือ บ้านหนองแก้ว ในเขตอำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ บ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด และที่อำเภอเมืองบึงกาฬ บริเวณวัดอาฮง ตำบลหอคำ ซึ่งเป็นจุดที่ชาวหนองคายเชื่อกันว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง เป็นเมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็ปรากฏบั้งไฟพญานาคให้เห็นเช่นกัน
สำหรับจังหวัดอุบลราชธานี มีชาวบ้านพบเห็นในอำเภอโขงเจียม กำหนดจุดชมไว้ 3 แห่ง คือ บ้านกุ่ม บ้านท่าล้ง และบ้านตามุย
ระยะเวลาในการขึ้นของบั้งไฟพญานาคนั้นจะขึ้น ระหว่างตะวันตกดินถึงประมาณ 23.00 น. ก็จะหมดไป



บั้งไฟพญานาค อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย


ตำนานและความเชื่อเรื่องบั้งไฟพญานาค

เรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา (3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ บั้งไฟพญานาคและจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน และได้กลายมาเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้ แต่ไม่มีในพุทธประวัติ

ปรากฏการณ์ลูกไฟในต่างประเทศ

นอกจากประเทศไทยแล้ว ที่อื่น ๆ ในโลกก็มีรายงานการพบปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน เช่นที่ รัฐมิสซูรี และ รัฐเทกซัส ของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกกันว่า แสงมาร์ฟา (Marfa lights) นอกจากนี้ยังพบที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง[ต้องการอ้างอิง] ในออสเตรเลีย อังกฤษ นอร์เวย์ และในยุโรป บางแห่งมีสีฟ้า สีส้ม สีแดงเข้ม สีขาว สีขาวปนเหลือง สีเหลืองทอง สีรุ้ง ขนาดตั้งแต่เท่าลูกปิงปองถึงลูกบาสเกตบอล มีรูปร่างทรงกลม ทรงรี รีคล้ายลูกอ๊อดหัวขึ้น รูปทรงคล้ายเพชร รูปทรงกระบอก ทรงเหลี่ยม และรูปทรงแปลก ๆ การเคลื่อนที่แตกต่างกันไปทั้งอยู่นิ่ง ลอยขึ้นในแนวดิ่งหรือเคลื่อนที่ในแนวราบ บางที่มีให้เห็นนานเกือบ 12 นาที ในบางทีอาจได้ยินเสียงฟู่ หากพบในระยะใกล้ และบ่อยครั้งที่พบตามแหล่งน้ำ ข้อมูลทั้งภาพและข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังมีค่อนข้างน้อย มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป
ในปี พ.ศ. 2558 นี้ ชาวจังหวัดหนองคาย ในแถบอำเภอโพนพิสัย คาดว่าจะเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่กลางแม่น้ำโขง ในค่ำคืนของวันออกพรรษา คือวันที่ 27 ตุลาคม 2558 เหมือนดังเช่นปีที่ผ่านๆ มา  หากท่านประสงค์เดินทางไปเที่ยวชมความมหัศจรรย์ของแม่น้ำโขง บริเวณจังหวัดหนองคาย และ จังหวัดบึงกาฬ ควรรีบจองที่พักเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป








สารคดีท่องเที่ยว

ทุ่งโนนสน ยลดอกไม้งามใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง


สองข้างทางเดินมีมวลหมู่พฤกษาทะยานชูช่อออกดอกอวดสีสดใส ดุจกำลังรอคอยต้อนรับนักเดินทางต่างถิ่นชื่อเสียงของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงที่ตั้งอยู่ในเขตรอยต่อ 2 จังหวัด คือ จ.พิษณุโลก และ จ.เพชรบูรณ์ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบบรรยากาศแบบธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร เนื่องจากภายในอุทยานฯ มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อนสวยงามก่อเกิดเป็นจุดท่องเที่ยวหลายแห่ง รวมทั้งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสายก่อนที่จะไหลรินลงสู่แม่น้ำน่านต่อไปทุ่งโนนสน เป็นจุดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง


ทุ่งโนนสน ยลดอกไม้งามใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง


 ซึ่งมีความน่าสนใจแต่ทว่าน้อยคนนักจะได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัส เพราะว่าสถานที่แห่งนี้ยากต่อการเดินทางเข้าไปถึง ปัจจุบันยังคงต้องใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปเพียงวิธีเดียวจึงจะได้พบกับดินแดนธรรมชาติมหัศจรรย์ อันมีทุ่งหญ้าป่าเขียวและดอกไม้งามชูช่อเปล่งสีสันอวดโฉมงดงามเริงร่าในช่วงเวลาปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวอย่างช่วงเวลานี้ผมเริ่มต้นการเดินทางแบบสมบุกสมบันจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.12 บ้านรักไทย ในเขต อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นส่วนงานย่อยของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง สัมภาระจำเป็นและเสบียงอาหารถูกตระเตรียมให้พร้อมจากที่นี่ จากนั้นต้องใช้รถกระบะขับเข้าไปในเส้นทางทุรกันดารระยะทางประมาณ 8 กม. ผ่านไร่มันสำปะหลัง สวนยาง ของชาวบ้าน หากเป็นช่วงฤดูฝนการเดินทางสัญจรในเส้นทางนี้จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก จนถึงบ้านฐานแตกซึ่งในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นฐานที่ตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)


ทุ่งโนนสน ยลดอกไม้งามใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง





 ปัจจุบันมีสภาพเป็นเพียงเนินเขาที่ไม่มีร่องรอยอดีตแห่งความขัดแย้งหลงเหลือให้เห็นอยู่เลยจากบ้านฐานแตกคือจุดเริ่มต้นการเดินเท้า เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ให้ข้อมูลว่า เราต้องเดินเท้าระยะทาง 7.5 กม. เส้นทางในช่วงแรกมีลักษณะขึ้นลงเนินเขาสลับกันไป เป็นเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ต่อด้วยช่วงกลางและช่วงสุดท้ายจะเป็นลักษณะการเดินขึ้นเนินมีความลาดชัน โดยมีจุดพักเป็นระยะๆ รวมแล้วใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถือว่าเป็นเส้นทางสู่ทุ่งโนนสนที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด หากใช้เส้นทางจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.8 หนองแม่นา จะต้องเดินทางไกลถึง 31 กิโลเมตร โดยใช้รถยนต์กระบะเข้าไปส่งได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น และจากนั้นก็ต้องใช้วิธีเดินเท้าสู่ทุ่งโนนสนเช่นเดียวกัน การเดินทางจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.12 บ้านรักไทย จึงมีความสะดวกรวดเร็วกว่า ที่ผ่านมาเส้นทางสายนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาบ้างแล้ว แต่ก็ถือว่ายังไม่มากนัก จึงทำให้ธรรมชาติของทุ่งโนนสนยังมีความสมบูรณ์อยู่มากระหว่างการเดินทางผมฟังเจ้าหน้าที่เล่าถึงความสวยงามของท้องทุ่งหญ้าแบบสะวันนา ที่มีดอกไม้ป่าขึ้นเสียบแซมอวดสีสันพริ้วไสวตามสายลม ป่าสนสองใบ และสนสามใบ ที่กิ่งก้านหงิกงอเป็นศิลปะมีชีวิตจริงจากธรรมชาติบนเขาสูง บางช่วงเวลาที่พักเหนื่อยเรื่องราวตื่นเต้นของการพบสัตว์ใหญ่อย่างเช่น ช้าง ที่วิ่งผ่านกลางแค้มป์ไปอย่างหน้าตาเฉย ก็ทำให้ผมและคนอื่นๆ รู้สึกฮึกเหิมมีกำลังใจที่อยากจะเดินต่อเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย เส้นทางเดินป่าสายนี้แม้จะร้างราผู้ผ่านทางมาเนิ่นนาน แต่ว่ารอยทางยังคงมีให้เห็นเป็นไปสู่จุดหมาย หลายครั้งที่หอบกระหาย น้ำดื่มเพียงน้อยนิดถูกจิบราวกับเครื่องดื่มมีค่าราคาแพง นี่กระมัง ประโยชน์ของการเดินป่า ทำให้เราคุณค่าของสิ่งต่างๆ ใกล้ตัวผมคิดเสียงดังอยู่ในใจเวลาแห่งความเหนื่อยล้าผ่านไป 4 ชั่วโมง ผมเดินออกมาจากราวป่า ภาพแรกที่ได้เห็นคือต้นสนสูงใหญ่เรียงรายเต็มท้องทุ่งยอดของมันตัดกับท้องฟ้าใสที่มีเมฆขาวลอยคละคลุ้ง เบื้องล่างคือทุ่งหญ้าเริ่มกลายเป็นสีทองอร่าม อาการเหนื่อยหอบจางหายไปพร้อมๆ กับเม็ดเหงื่อเมื่อยามสัมผัสกับสายลมเย็น จุดตั้งแค้มป์ที่พักอยู่ทางด้านทิศเหนือของทุ่งโนนสน ดูเป็นทำเลที่เหมาะสมที่สุด แม้จะไม่มีห้องน้ำอำนวยความสะดวกแต่ทางเจ้าที่ได้จัดทำแบบชั่วคราวไว้ให้พอประทัง สถานที่แห่งนี้คงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย แต่สำหรับผู้มีใจรักในธรรมชาติแล้วที่นี่คงเป็นที่มหัศจรรย์สองข้างทางเดินมีมวลหมู่พฤกษาทะยานช่อดอกอวดสีสดใส ดุจกำลังรอคอยต้อนรับนักเดินทางต่างถิ่น ดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง กระดุมเงิน กระดุมทอง มีให้เห็นอยู่ดารดาษ เอื้องนวลจันทร์ หรือ เหลืองพิศมร สีเหลืองสด มีขึ้นอยู่มากมายบนลานหิน และหากสังเกตที่พื้นดินก็จะเห็นดอกหยาดน้ำค้างที่กำลังเบ่งบาน ซึ่งผมได้ใช้เวลาถ่ายภาพดอกหยาดน้ำค้างอย่างเพลิดเพลินอยู่เป็นเวลานาน


ทุ่งโนนสน ยลดอกไม้งามใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง




 ดอกเอนอ้ากลีบสีม่วงเกสรเหลืองอาจจะหาได้ไม่ยากในผืนป่าทั่วไปที่นี่มีให้เห็นอยู่มากมาย บางคนเชื่อว่าสามารถนำไปทำเป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับเอ็นได้อย่างดี เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไรผมไม่ทราบแน่ชัด คงต้องสอบถามผู้รู้ที่เคยลองจะดีกว่า นอกจากนี้แล้วยังมีพรรณไม้อีกหลายชนิดให้ชื่นชมความงดงาม เวลา 1-2 วันที่ได้อยู่บนทุ่งโนนสนคงดูเหมือนผ่านไปไวกว่าที่อื่นๆณ ที่แห่งนี้แม้ไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ แต่ก็ยังพอมีลำห้วยไหลรินน้ำใสที่ผุดขึ้นมาผิวดิน หล่อรวมเป็นทางน้ำผ่านลานหินตกสู่เบื้องล่างเป็นธารน้ำตกสายเล็ก ให้ได้ใช้ประโยชน์ดื่มกินและนำมาประกอบอาหารพ้นผ่านความหิวไปได้บ้าง สำหรับวันนี้ซึ่งถือเป็นวันแรกที่ได้เดินทางมาถึงทุ่งโนนสน แค้มป์ที่พักถูกจัดตั้งภายในเวลาอันรวดเร็ว เราเริ่มช่วยกันประกอบอาหารให้เสร็จก่อนแสงแห่งวันจะลับหายไป เรายังมีเวลาอีก 2 วัน ที่จะเก็บเกี่ยวภาพความประทับใจรอบตัวบนทุ่งโนนสน แต่ว่าเวลานี้สายลมเย็นต้นฤดูหนาวพัดเข้ามาให้รู้สึกสะท้านหวั่นเกรง คงอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ต้นหญ้า ดอกไม้ และหมู่ดาว จะได้เริ่มบรรเลงบทเพลงธรรมชาติให้นักเดินทางต่างถิ่นได้ฟังตลอดคืน




วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

สอบแก้ตัว

ตอนที่ 1 ในแต่ละข้อ ให้นักเรียนขีดเส้นใต้ บารมี ที่พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญในแต่ละชาติ


๑. ในชนกชดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ...วิริยบารมี...เมตตาบารมี ... อธิษฐานบารมี..
๒. ในจันทชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ..ขันติบารมี..ปัญญาบารมี...ศีลบารมี....
๓. ในสุวรรณสามชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ..ทานบารมี...เมตตาบารมี..อุเบกขาบารมี..
๔. ในเวสสันดรชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ..ขันติบารมี..สุจจบารมี..ทานบารมี..
๕. ในเตมีย์ชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ...ศีลบารมี...เนกขัมมบารมี...ปัญยาบารมี...
๖. ในเนมิราชชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ...ขันติบารมี..อธิษฐานบารมี...ปัญญาบารมี..
๗. ในนารทชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ..ศีลบารมี..อุเบกขาบารมี...ทานบารมี..
๘. ในวิทูรชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ...สัจจบารมี..เนกขัมมบารมี..ขันติบารมี..
๙. ในภูริทัตชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ..วิริยบารมี..ศีลบารมี..เมตตาบารมี..
๑0. ในมโหสถชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ..ปัญญาบารมี..สัจจบารมี..อธิษฐานบารมี..

ตอนที่ ๒ จากเรื่องพระเวสสันดรชาดก ให้นักเรียนนำข้อความต่อไปนี้เติมลงในช่องว่างให้สัมพันธ์กับเวสสันดรชาติในแต่ละกัณฑ์ 
ก. พระเวสสันดรทรงมหาสัตตสดกทาน
ข. พราหมณ์ผัวเมียยกลูกสาวคืออมิตดาให้ชูชก
ค. พรานเจตบุตรต้อนรับชูชกและได้บอกหนทางที่จะไปอาศรมฤาษี
ง. พระเวสสันดรจึงประทานให้นางมัทรี
จ. พระนางมัทรีตามหาโอรสธิดาและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์
ฉ. สี่กษัตริย์เดินทางสู่เขาวงกต
ช. พระเจ้ากรุงสีพีพระราชทานค่าไถ่คืน
ฌ. พระเวสสันดรทรงให้ทานสองโอรสแก่เฒ่าชูชก
ญ.  ชูชกใช้คารมหลอกล่อจนอจุตฤาษีให้ที่พักหนึ่งคืน
ฏ.พระเวสสันดรเสด็จกลับพระนครครองราชสมบัติปกปลอง
นครสีพีโดยทศพิธราชธรรม
ฐ. กษัตริย์ทั้งหกได้พบกันทรงกันแสงสุดประมาณ
ฑ. พระเวสสันดรพระราชทานช้างคู่บารมีชื่อช้างปัจจัยนาคให้แก่พระเจ้ากาลิง
ฒ. พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร ....ฑ....
กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์...ฒ...
กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์...ก..
กัณฑ์ที่ ๔ วนประเวศน์...ง..
กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก..ข....
กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน....จ...
กัณฑ์ที่ ๗ มหาพน....ช...
กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร...ฌ....
กัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี....ค....
กัณฑ์ที่ ๑0 สักรบรรพ...ฉ...
กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช...ญ...
กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์...ฐ....
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์....ฏ...

ตอนที่ ๓ จงตอบคำถามข้อ ๑-๒  ข้อ ๓-๔ ให้นักเรียน ขีดเส้นทับคำที่ไม่ต้องการข้อละ ๑ คำ 
๑. ใครเป็นผู้แต่งวรรณคดี เรื่อง ไตรภุมิพนะร่วง 
ตอบ.....พระมหาธรรมราชชลิไทย..
๒. พระพุทธเจ้า องค์ต่อไปในภัทรกัปนี้ ชื่ออะไร 
ตอบ...พระศรีอาร์ย...
๓. มนุสสภูมิ อยู่ในภูมิชนิดใด .. กามภูมิ.../...สุคติภูมิ../..อรูปภุมิ..
๔. นรกภูมิ และเดรัจฉานภูมิ  เป็นภูมิชนิดใด 
ทุคติภูมิ / รูปภูมิ / กามภูมิ
๕. สวรรค์ ๖ ชั้น เป็นภูมิชนิดใด
สุคภูมิ / กามภุมิ / อรูปภูมิ 

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นิทานชาดก




    โลภมากลาภหาย
           ครั้งหนึ่งสมัยพุทธกาล ณ วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ขณะพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่นั้นได้ทรงเอ่ยถึงภิกษุณีผู้หนึ่งนามว่า ถูลนันทา ผู้ไม่ประมาณตนในการบริโภคกระเทียมจนก่อความเดือดเนื้อร้อนใจแก่ชาวบ้านยิ่งนัก ได้นำอดีตนิทานขึ้นมาสาธกให้ฟังว่า…
เมื่อครั้งหนึ่งขณะพระโพธิสัตว์ได้เสวยชาติเป็นพราหมณ์ ได้มีภริยาและลูกสาว 3 นาง นามว่า นันทา, นันทวดี และสุนันทา เมื่อลูกสาวทั้งสามนั้นได้เป็นฝั่งเป็นฝาแล้วทุกนาง ฝ่ายพราหมณ์จึงเสียชีวิตลงและได้เกิดเป็นหงส์ทองคำที่มีความสามารถระลึกชาติได้
ในวันหนึ่งขณะหงส์ทองคำบินมายังบ้านของตนได้เห็นภริยาและลูกๆ ของตนนั้นมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ต้องทำงานรับจ้างผู้อื่นไปเรื่อยก็เกิดรู้สึกเวทนา จึงเข้าไปหานางพราหมณีผู้เป็นภริยาและบรรดาลูกสาวของตนแล้วเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ฟัง แล้วสลัดขนของตนให้แก่ภริยาและลูกๆ ทั้งสามไปคนละหนึ่งอันจากนั้นก็บินกลับไป และทำอยู่เช่นนี้อีกหลายครา ไม่ว่าจะมาคราวใดก็จะสลัดขนตนให้แก่ภริยาและลูกๆ ทุกครั้งไป ทำให้ทั้งภริยาและลูกๆ ของตนไม่ต้องลำบากอีกต่อไป
ต่อมาด้วยความโลภนางพราหมณีจึงบอกกับลูกๆ ตนว่า “ลูกๆ จงจำไว้นะ หากคราวนี้เจ้าหงส์ทองคำนั่นบินมาอีกเมื่อใดก็ตาม ให้จับถอนขนออกเสียให้หมดทั้งตัว แล้วเราจะได้ทองมากขึ้น” ฝ่ายลูกทั้งสามนั้นไม่เห็นด้วยกับมารดาเท่าไรนัก แต่นางพราหมณีไม่ฟัง จนเมื่อถึงวันที่หงส์ทองคำบินมาอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่หงส์ทองคำกำลังจะสลัดขนของตนให้แก่นางพราหมณีนั้น ฝ่ายนางพราหมณีรีบจับตัวหงส์นั้นไว้แล้วถอนขนออกจนหมดเกลี้ยง แต่เมื่อถอนจนหมดขนเหล่านั้นมิได้อร่ามตาเช่นเดิมกลายเป็นขนหงส์ธรรมดาเท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะหงส์ทองคำมิได้ให้ด้วยใจ
ฝ่ายนางพราหมณีนึกเสียดายหวังจะเลี้ยงหงส์ตัวนี้ไว้เพื่อรอให้ขนมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้วจะจับถอนใหม่ แต่เมื่อขนของหงส์ทองคำนี้ได้งอกกลับขึ้นมาใหม่เช่นเดิมแล้ว เจ้าหงส์ก็ได้บินหนีออกไปโดยไม่มาหานางพราหมณีและลูกๆ อีกเลย ทำให้นางพราหมณีและลูกทั้งสามจากที่กำลังร่ำรวยเป็นเศรษฐีก็เริ่มมีชีวิตตกต่ำกลับมารับจ้างผู้อื่นเช่นเดิม
พระพุทธองค์ เมื่อนำอดีตนิทานมาสาธกแล้วได้ตรัสพระคาถาว่า
   “บุคคลได้สิ่งใด ควรยินดีสิ่งนั้น เพราะความโลภเกินประมาณ เป็นความชั่วแท้ นางพราหมณี จับเอาพญาหงส์ทองแล้วจึงเสื่อมจากทองคำ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โลภมากมักลาภหาย


วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ไตรภูมิพระร่วง

 ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง เป็นพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไทซึ่งแต่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1888 โดยมีพระประสงค์ที่จะเทศนาโปรดพระมารดา และเพื่อจำเริญพระอภิธรรม ไตรภูมิพระร่วงเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถอย่างลึกซึ้ง ในด้านพุทธศาสนาของพระมหาธรรมราชาลิไทที่ทรงรวบรวมข้อความต่างๆ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา นับแต่พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษต่างๆ มาเรียบเรียงขึ้นเป็นวรรณคดีโลกศาสตร์เล่มแรกที่แต่งเป็นภาษาไทยเท่าทีมีหลักฐานอยู่ในปัจจุบันนี้
ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้งสาม คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิซึ่งมีเนื้อหาพรรณนาถึงที่อยู่ ที่ตั้ง และการเกิดของมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเทวดา ที่ตั้งเหล่านี้มีเขาพระสุเมรุเป็นหลัก เขาพระสุเมรุนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อม ทิวเขามีชื่อต่างๆดังนี้ 1. ยุคนธร 2. อิสินธร 3. กรวิก 4. สุทัศน์ 5. เนมินธร 6. วินันตก และ7.อัศกรรณ ซึ่งเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวมเรียกว่าเขาสัตตบริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ 7 ชั้น เรียกว่า มหานทีสีทันดร ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล
นรกภูมิ
นรกภูมิ มีนรกใหญ่ 8 ขุม คือ สัญชีพนรก กาลสูตนรก สังฆาฏนรก โรรุพนรก ตาปนรก มหาตาปนรก มหาอเวจีนรก มหาโรรุพนรก สัตว์ที่เกิดในนรกแห่งนี้มีอายุยืนนานนับไม่ถ้วน สัตว์นรกขุมแรกมีอายุยืนได้ 500 ปี (1 วันกับ 1 คืนของเมืองนรกเท่ากับ 9 ล้านปีของเมืองมนุษย์) ส่วนสัตว์นรกที่อยู่ขุมถัดไปมีอายุนับทวีคูณจำนวนปีของขุมนรกแรก
นรก 8 ขุมนี้ มีกำแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอล้อมเป็นสี่เหลี่ยม พื้นบนและพื้นล่างก็เป็นเหล็กแดงที่ลุกเป็นไฟ กำแพงทั้ง 4 ด้าน ยาวด้านละ 1,000 โยชน์ หนา 9 โยชน์ มีประตูเข้า 4 ประตู ส่วนพื้นบนและพื้นล่างมีความหนา 9 โยชน์ นรกใหญ่แต่ละขุมมีนรกบริวารหรือนรกบ่าวล้อมอยู่ด้านละ 4 ขุม นรกใหญ่ขุมหนึ่งจึงมีนรกบ่าว 16 ขุม นรกใหญ่ 8 ขุมจึงมีนรกบ่าวทั้งหมด 136 ขุม และก็มีนรกเล็กๆ น้อยๆ อีกจำนวนนับไม่ถ้วน นรกบ่าวทั้ง 16 ขุมรวมเรียกชื่อว่า อุสุทธ (อุสสทนรก) นรกโลกันต์
ยมบาล หรือผู้ดูแลนรกเฝ้าประตูนรกไว้ มีพระยายมราชเป็นผู้ทรงธรรมเที่ยงตรงเป็นใหญ่เหนือยมบาลทั้งหลาย หน้าที่ของพระยายมราชคือสอบสวนบุญบาปของมนุษย์ที่ตายไป หากทำบุญก็จะได้ขึ้นสวรรค์ทำบาปก็จะตกนรก


ติรัจฉานภูมิ
ติรัจฉานติภูมิ หรือเดรัจฉานติภูมิ คือแดนของเดียรฉาน แปลว่าตามขวางหรือตามเส้นนอนตรงกันข้ามกับคนซึ่งไปตัวตรง ดังนั้นสัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงสัตว์ที่ไปไหนมาไหนต้องคว่ำอก
สัตว์อันเกิดมาในแดนเดรัจฉานว่า มีเกิดจากไข่ (อัณฑชะ) จากมีรกอันห่อหุ้ม(ชลาพุชะ) จากใบไม้และเหงื่อไคล(สังเสทชะ) เกิดเป็นตัวขึ้นเองและโตทันที(อุปปาติกะ) สัตว์เดรัจฉานนั้นมีความเป็นอยู่ 3 ประการ คือ รู้สืบพันธุ์ รู้กิน รู้ตาย เรียกเป็นศัพท์ว่า กามสัญญา อาหารสัญญา และมรณสัญญา ส่วนคนนั้นเพิ่มอีกสัญญาหนึ่งคือ ธธมสัญญา คือรู้จักการทำมาหากิน รู้บาปบุญ หรือตรงกับคำว่าวัฒนธรรมนั้นเอง สัตว์ที่กล่าวในแดนเดรัจฉานหลักๆก็มีดังนี้
ราชสีห์ เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับสิงโต ไม่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้แต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวรรณคดี
  • ช้างแก้ว อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองว่ากันว่าพระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเคยไปเกิดเป็นช้างนี้อยู่หนึ่งชาติ
  • ปลา ในแดนเดรัจฉานนี้ปลาที่อาศัยอยู่ที่นี้จะมีขนาดใหญ่มาก ตัวที่เล็กสุดก็ยังยาวถึง 75 โยชน์ ตัวที่ใหญ่ก็ยาวถึง 5,000 โยชน์ ปลาที่รู้จักกันดีคือ พญาปลาอานนท์ ซึ่งหนุนชมพูทวีปอยู่
  • ครุฑ อาศัยอยู่ที่ตามฝั่งสระใหญ่ชื่อสิมพลีสระที่ตีนเขาพระสุเมรุหรือสระต้นงิ้ว กว้างได้ 500 โยชน์ พระยาครุฑที่เป็นหัวหน้าตัวโต 50 โยชน์ ปีกยาวอีก 50 โยชน์ ปากยาว 9 โยชน์ ตีนทั้งสองยาว 12 โยชน์ ครุฑกินนาคเป็นอาหาร และเป็นพาหนะของพระนารายณ์
  • นาค หรืองูมีหงอนและมีตีน นาคมีสองชนิด คือ ถลชะ หรือนาคที่เกิดบนบก และ ชลชะ หรือนาคที่เกิดในน้ำ นาคถลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่บนบก นาคชลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่ในน้ำเท่านั้น
  • หงส์ อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองบนเขาคิชฌกูฏหรือเขายอดนกแร้ง หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม

เปรตภูมิ
เปรตเป็นผีเลวชนิดหนึ่ง ในไตรภูมิบรรยายรูปร่างของเปรตไว้ว่า เปรตบางชนิดมีตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม เปรตบางชนิดก็ตัวผอมไม่มีเนื้อหนังมังสา ตาลึกกลวง และร้องไห้ตลอดเวลา แต่ก็มีเปรตบางชนิดที่ตัวงามเป็นทอง แต่ปากเป็นหมูและเหม็นมาก สรุปรวมๆแล้วก็คือเมื่อตอนเป็นคนแล้วทำบาปอย่างใดเมื่อตายไปก็จะเป็นเปรตตามที่ทำบาปไว้

อสูรกายภูมิ
อสูร แปลตรงตัวว่า ผู้ไม่ใช่สุระหรือไม่ใช่พวกเทวดาที่มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า เดิมพวกอสูรมีเมืองอยู่บนเขาพระสุเมรุหรือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง ภายหลังพวกเทวดาคิดอุบายมอมเหล้าพวกอสูรเมาจนไม่ได้สติ แล้วพวกเทวดาก็ช่วยกันถีบอสูรให้ตกเขาพระสุเมรุดิ่งจมลงใต้ดิน เมื่ออสูรสร่างเมาได้สติแล้วก็สำนึกตัวได้ว่า เป็นเพราะกินเหล้ามากจนเมามายจึงต้องเสียบ้านเมืองให้กับพวกเทวดาจึงเลิกกินเหล้าแล้วไปสร้างเมืองใหม่ใต้บาดาลเรียกว่า อสูรภพ

พวกอสูรกายมีบ้านเมืองเป็นของตนเอง เรียกว่าอสูรภพ อยู่ลึกใต้ดินไป 84,000 โยชน์ เป็นบ้านเมืองงดงามมากเต็มไปด้วยแผ่นทองคำ คือบ้านเมืองของอสูรนี้จะมีเหมือนสวรรค์ของเทวดา เช่น กลางสวรรค์มีต้นปาริชาติกลางเมืองอสูรก็มีต้นแคฝอย เมืองอสูรมีเมืองใหญ่อยู่ 4 เมืองโดยมีพระยาอสูรปกครองอยู่ทุกเมือง ในบรรดาอสูรมีอยู่ตนหนึ่งมีอำนาจมากชื่อว่า ราหู
อสูรราหูมีหน้าตาหัวหูที่ใหญ่โตมากกว่าเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ ราหูมีความเกลียดชังพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก ในวันพระจันทร์เต็มดวงหรือวันเดือนงามและวันเดือนดับ ราหูจะขึ้นไปนั่งอยู่บนเขายุคนธรอันเป็นทิวเขาทิวแรกที่ล้อมเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวดา ราหูจะคอยให้พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ผ่านมา เพื่อที่จะคอยอ้าปากอันกว้างใหญ่อมเอาพระจันทร์หรือพระอาทิตย์หายลบไป บางครั้งก็เอานิ้วมือบังไว้บ้าง เอาไว้ใต้คางบ้าง เหตุการณ์เหล่านี้เรียกกันว่า สุริยคราสและจันทรคราส
มนุษยภูมิ
ฝูงสัตว์อันเกิดในมนุษยภูมิ มีกำเนิดดังนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิในครรภ์มารดาก็เริ่มก่อตัวเป็นกัลละ กัลละมีรูปร่างโปร่งเหลวเหมือนน้ำหรือเหมือนเมือกตม เป็นคำที่ใช้เฉพาะสิ่งที่ห่อหุ้มก่อกำเนิดเป็นคนเท่านั้น กัลละที่ก่อเป็นตัวเด็กขึ้นมานี้ตามวิทยาศาสตร์กล่าวเรียกว่า 'cell' เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดกลายเป็นตัวเด็กขึ้นนั่งกลางท้องแม่และเอาหลังมาชนท้องแม่ มีสายสะดือเป็นตัวส่งอาหารที่แม่กินเข้าไปให้แก่เด็ก เด็กที่นั่งอยู่กลางท้องแม่นั้นจะนั่งอยู่เวลาประมาณ 8-10 เดือน แล้วจึงคลอดจากท้องแม่
บุตรที่เกิดมาในไตรภูมิแบ่งได้เป็น 3 สิ่ง คือ
  • อภิชาตบุตร เป็นคนเฉลียวฉลาดมีรูปงามหรือมั่งมียศยิ่งกว่าพ่อแม่
  • อนุชาตบุตร มีเพียงพ่อแม่
  • อวชาติบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่
  • คนทั้งหลายก็แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ
    • ผู้ที่ทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบาปนั้นตามทันต้องถูกตัดตีนสินมือและทุกข์โศกเวทนานักหนา พวกนี้เรียกว่า "คนนรก"
    • ผู้หาบุญจะกระทำบ่มิได้ และเมื่อแต่ก่อนและเกิดมาเป็นคนเข็ญใจยากจนนักหนา อดอยากไม่มีกิน รูปโฉมก็ขี้เหร่ พวกนี้เรียกว่า "คนเปรต"
    • คนที่ไม่รู้จักบาปและบุญ ไม่มีความเมตตากรุณา ไม่มีความยำเกรงผู้ใหญ่ ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่รักพี่รักน้อง กระทำบาปอยู่ร่ำไป พวกนี้ท่านเรียกว่า "คนเดรัจฉาน"
    • คนที่รู้จักบาปและบุญ รู้กลัวรู้ละอายแก่บาป รู้รักพี่รักน้อง รู้กรุณาคนยากจนเข็ญใจ และรู้จักยำเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ครูอาจารย์ และรู้จักคุณแก้ว 3 ประการ คือ พระรัตนตรัย พวกนี้ท่านเรียกว่า "มนุษย์"

  • พระยาจักรพรรดิราช
  • พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวง คือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้รอบโลกโดยปราศจากการขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นคนแต่ทำบุญไว้มากเมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์ ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยาที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการเป็นเจ้านายคนทั้งหลายพระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม พระยาจักรพรรดิราชมีแก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วย ได้แก่
  • 1. จักรแก้ว คือแก้วอย่างที่หนึ่ง จักรแก้วหรือจักรรัตน์จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกได้ 84,000 โยชน์ เมื่อเกิดจักรพรรดิราชขึ้นในโลก จักรแก้วซึ่งเป็นคู่บุญบารมีและจมอยู่ในมหาสมุทรก็จะผุดขึ้นมาจากท้องทะเลพุ่งขึ้นไปในอากาศเกิดเป็นแสงส่องอันงดงามมาน้อมนบ เมื่อพระยาผู้ครองเมืองนั้นทราบว่าพระองค์จะได้เป็นพระยาจักรพรรดิราชปราบทั่วจักรวาลเพราะมีจักรแก้วมาสู่พระองค์ พระยาจักรพรรดิราชก็จะเสด็จปราบทวีปทั้งสี่ 
  • 2.ช้างแก้ว (หัสดีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สอง ซึ่งเป็นช้างที่มีความงดงาม ตัวเป็นสีขาว ตีนและงวงสีแดง เหาะได้รวดเร็ว
  • 3.ม้าแก้ว (อัศวรัตน์) คือแก้วอย่างที่สาม เป็นม้าที่มีขนงามดังสีเมฆหมอก กีบเท้าและหน้าผากแดงดั่งน้ำครั่ง เหาะได้รวดเร็วเช่นเดียวกับช้างแก้ว
  • 4. แก้วดวง (มณีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สี่ เป็นแก้วที่มีขนาดยาวได้ 4 ศอก ใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่ สองหัวแก้วมีดอกบัวทอง เมื่อมีความมืดแก้วนี้จะส่องสว่างให้เห็นทุกหนแห่งดังเช่นเวลากลางวัน แก้วนี้จะอยู่กับพระยาจักรพรรดิราชจนตราบเท่าเสด็จสวรรคาลัย จึงจะคืนไปอยู่ยอดเขาพิปูลบรรพตตามเดิม
  • 5. นางแก้ว (อิตถีรัตน์) คือแก้วอย่างที่ห้า เป็นหญิงที่จะมาเป็นมเหสีคู่บารมีของพระยาจักรพรรดิราช นางแก้วนี้จะต้องเป็นหญิงที่ได้ทำบุญมาแต่ชาติก่อน และมาเกิดในแผ่นดินของพระยาจักรพรรดิราชในตระกูลกษัตริย์ นางแก้วนี้จะเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงามไปทุกส่วน จะทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของพระยาจักรพรรดิราช
  • 6.ขุนคลังแก้ว คือแก้วอย่างที่หก เกิดขึ้นเพื่อบุญแห่งพระยาจักรพรรดิราช และจะเป็นมหาเศรษฐี ขุนคลังแก้วจะสามารถกระทำได้ทุกอย่างที่พระยาจักรพรรดิราชต้องการเพราะขุนคลังแก้วมีหูทิพย์ตาทิพย์ดังเทวดาในสวรรค์ หากว่าพระยาจักรพรรดิราชต้องการทรัพย์สินสิ่งใดขุนคลังก็จะสามารถนำมาถวายได้
    7.  ลูกแก้ว คือแก้วประการสุดท้ายของพระยาจักรพรรดิราช หรือโอรสของพระยาจักรพรรดิราช มีรูปโฉมอันงดงาม กล้าหาญ เฉลียวฉลาด สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ทุกประการ บางตำราก็ว่าเป็นขุนพลแก้ว
  • ฉกามาพจรภูมิ
  • คือดินแดนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ได้แก่ จาตุมหาราชิกภูมิ ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี
    สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นแรก สูงจากพื้นโลกได้ 46,000 โยชน์ จาตุมหาราชิกภูมิ แปลว่าแดนแห่ง 4 มหาราช สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่เหนือเทือกเขายุคนธรอันเป็นเทือกเขาแรกที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ บนเทือกเขายุคนธรทั้ง 4 ทิศ มีเมืองใหญ่ 4 เมือง เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุมีท้าวธตรฐเป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือคนธรรพ์ (เป็นอมนุษย์จำพวกหนึ่ง ครึ่งเทวดาครึ่งมนุษย์ เป็นนักดนตรีและชอบผู้หญิง) เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุมีท้าววิรูปักษ์เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือนาค เมืองที่อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุมีท้าววิรุฬหกเป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือพวกกุมภัณฑ์ (เป็นยักษ์จำพวกหนึ่ง มีท้องใหญ่และมีอัณฑะเหมือนหม้อ) เมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุมีท้าวไพศรพเป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือพวกยักษ์ ท้าวมหาราชทั้ง 4 นี้เรียกรวมๆว่า จตุโลกบาลทั้ง 4 คือผู้ดูแลรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ
  • สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 สูงจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิได้ 46,000 โยชน์ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นตั้งอยู่เหนือจอมเขาพระสุเมรุ มีนครไตรตรึงส์อยู่ตรงกลางสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นเมืองของพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย เมืองพระอินทร์กว้างได้ 8,000,000 วา มีปรางค์ปราสาทแก้ว มีกำแพงแก้ว มีประตูทองประดับด้วยแก้ว 7 ประการ เมื่อเปิดประตูจะได้ยินเสียงดนตรีไพเราะ กลางนครไตรตรึงส์นี้มีไพชยนต์วิมานหรือปราสาทที่ประทับของพระอินทร์ สูง 25,600,000 วา ประดับด้วยสัตตพิพิธรัตนะหรือแก้ว 7 ประการที่งดงามมาก ไพชยนต์วิมานนั้นประกอบด้วยเชิงชั้นชาลา 100 ชาลา แต่ละชาลามีวิมานได้ 700 วิมาน วิมานหนึ่งมีนางอัปสร 7 คน นอกจากพระอินทร์ที่เป็นเจ้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ยังมีเทวดาอีก 32 พระองค์ครองเมือง 32 เมืองอยู่รอบนครไตรตรึงส์นี้ทิศละ 8 องค์
  • ทางทิศตะวันออกของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีสวนขวัญชื่อ นันทอุทยาน มีต้นไม้ดอกไม้วิเศษ เป็นที่เล่นสนุกของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ใกล้อุทยานมีสระใหญ่ชื่อ นันทาโบกขรณี และจุลนันทาโบกขรณี น้ำในสระทั้งสองนี้ใสงามดังแก้วอินทนิล ริมฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อ นันทาปริถิปาสาณ และจุลนันทาปาริถิปาสาณ เป็นแผ่นศิลาที่มีรัศมีรุ่งเรือง
  • ทางทิศใต้ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อ ผรุสกวัน แปลว่าสวนมะปราง มีสระใหญ่ชื่อภัทราโบกขรณี และสุภัทราโบรขรณี ที่ฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อภัทราปริถิปาสาณ และสุภัทราปริถิปาสาณ
    ทางทิศตะวันตกของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อ จิตรลดาวัน แปลว่างามไปด้วยไม้เถา มีสระใหญ่ชื่อจิตรโบกขรณี และจุลจิตรโบรขรณี ที่ฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อจิตรปปาสาณ และจุลจิตรปาสาณ
    ทางทิศเหนือของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อ สักกวัน มีสระใหญ่ชื่อธรรมาโบกขรณี และสุธรรมาโบกขรณี ที่ฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อธรรมาปริถิปาสาณ และสุธรรมาปริถิปาสาณ
    ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อบุณฑริกวัน มีไม้ทองหลางใหญ่ชื่อปาริชาติกัลปพฤกษ์ ใต้ต้นกัลปพฤกษ์มีแท่นศิลาแก้วชื่อ บัณฑุกัมพล เป็นแท่นสีแดงเข้มดังดอกชบาและอ่อนดังฟูกผ้า ใกล้กันมีศาลาสุธรรมเทพสภาเป็นที่ประชุมและฟังธรรมของเทวดา
    ทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีเจดีย์จุฬามณี เป็นเจดีย์ประดับด้วยทองและแก้ว 7 ประการ มีกำแพงทอง 4 ด้าน ประดับด้วยธงประฏาก (ธงเป็นผืนห้อยยาวลงมาอย่างธงจรเข้) ธงไชย และกลดชุมสาย (กลดทำด้วยผ้าตาดทองมีสายห้อยเป็นระย้าอยู่รอบๆ) มีเทวดาประโคมดนตรีถวายพระเจดีย์อยู่เสมอ พระอินทร์ก็เสด็จมายังเจดีย์จุฬามณีนี้บ่อยๆ
    สวรรค์ชั้นยามา เป็นสวรรค์ชั้นที่ 3 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 84,000 โยชน์ มีพระยาสยามเทวราชครองอยู่ สวรรค์ชั้นนี้สูงกว่าวิถีการโคจรของพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่มืดเนื่องจากรัศมีแก้วและรัศมีตัวเทวดาส่องสว่างอยู่เสมอ
    สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นยามา 168,000 โยชน์ มีพระยาสันดุสิตเทวราช พระโพธิสัตว์ซึ่งจะเสด็จลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า มีพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
    สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 5 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิต 336,000 โยชน์
    สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ มีพระยาปรนิมมิตวสวัตตีครองอยู่
    พรหมโลก
    อยู่เหนือสวรรค์ชั้นสูงสุด มี 2 ประเภท คือ รูปพรหม (รูปาวจร) มี 16 ชั้น และอรูปพรหม (อรูปาวจร) มี 4 ชั้น