ผู้ติดตาม

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สารคดีท่องเทียว



บั้งไฟพญานาค


เรื่องราวของสัตว์ในตำนานเกี่ยวกับพญางูใหญ่ มีหงอนที่บริเวณส่วนหัว หรือ ที่เรียกกันทั่วไปว่า พญานาค นั้นยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่มีใครกล้าพิสูจน์ พญานาคเป็นความเชื่อของคนในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็น สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นได้อย่างไร?


พญานาค ที่วัดอาฮงศิลาวาส จ.บึงกาฬ


บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นได้อย่างไร?

บั้งไฟพญานาค  เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขง เห็นได้จากทั้งฝั่งไทยและลาว ลักษณะเป็นลูกกลมเรืองแสงลอยขึ้นจากน้ำขึ้นไปในอากาศ จำนวนลูกไฟมีรายงานระหว่างหลายสิบถึงหลายพันลูกต่อคืน บั้งไฟพญานาคเกิดช่วงวันออกพรรษาของทุกปี
บั้งไฟพญานาคยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่ชัด แต่มีคำอธิบายสามแนวทาง คือ เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติตามตำนาน เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเป็นการกระทำของมนุษย์


พญานาค ที่วัดอาฮงศิลาวาส จ.บึงกาฬ



บริเวณที่เกิดบั้งไฟพญานาค

ตำแหน่งที่บั้งไฟพญานาคมักจะปรากฏให้เห็นว่า ทั่วทั้งจังหวัดหนองคาย มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 จุด โดยในจังหวัดหนองคายเกิดขึ้นหลายจุด แต่จุดที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีผู้พบเห็นบ่อยครั้งเริ่มจากที่อำเภอสังคม บริเวณ อ่างปลาบึกบ้านผาตั้ง บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคม ต่อมาที่บริเวณ วัดหินหมากเป้งอำเภอศรีเชียงใหม่
ถัดจากนั้นก็จะพบในเขตอำเภอเมืองบ้านหินโงม ตำบลหินโงม อำเภอเมืองหนองคาย หน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ตำบลบ้านเดื่อ อำเภอเมืองหนองคาย พอเข้าสู่เขต อำเภอโพนพิสัยก็จะพบแทบจะตลอดลำน้ำโขง ตั้งแต่ปากห้วยหลวง ตำบลห้วยหลวง ในเขตเทศบาลตำบลจุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง หนองสรวง เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ตำบลกุดบง บ้านหนองกุ้ง ซึ่งที่อำเภอโพนพิสัยจะพบมากที่สุด แล้วมาพบอีกที่อำเภอรัตนวาปี บริเวณ ปากห้วยเป บ้านน้ำเป วัดเปงจาเหนือ บ้านหนองแก้ว ในเขตอำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ บ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด และที่อำเภอเมืองบึงกาฬ บริเวณวัดอาฮง ตำบลหอคำ ซึ่งเป็นจุดที่ชาวหนองคายเชื่อกันว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง เป็นเมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็ปรากฏบั้งไฟพญานาคให้เห็นเช่นกัน
สำหรับจังหวัดอุบลราชธานี มีชาวบ้านพบเห็นในอำเภอโขงเจียม กำหนดจุดชมไว้ 3 แห่ง คือ บ้านกุ่ม บ้านท่าล้ง และบ้านตามุย
ระยะเวลาในการขึ้นของบั้งไฟพญานาคนั้นจะขึ้น ระหว่างตะวันตกดินถึงประมาณ 23.00 น. ก็จะหมดไป



บั้งไฟพญานาค อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย


ตำนานและความเชื่อเรื่องบั้งไฟพญานาค

เรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา (3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ บั้งไฟพญานาคและจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน และได้กลายมาเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้ แต่ไม่มีในพุทธประวัติ

ปรากฏการณ์ลูกไฟในต่างประเทศ

นอกจากประเทศไทยแล้ว ที่อื่น ๆ ในโลกก็มีรายงานการพบปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน เช่นที่ รัฐมิสซูรี และ รัฐเทกซัส ของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกกันว่า แสงมาร์ฟา (Marfa lights) นอกจากนี้ยังพบที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง[ต้องการอ้างอิง] ในออสเตรเลีย อังกฤษ นอร์เวย์ และในยุโรป บางแห่งมีสีฟ้า สีส้ม สีแดงเข้ม สีขาว สีขาวปนเหลือง สีเหลืองทอง สีรุ้ง ขนาดตั้งแต่เท่าลูกปิงปองถึงลูกบาสเกตบอล มีรูปร่างทรงกลม ทรงรี รีคล้ายลูกอ๊อดหัวขึ้น รูปทรงคล้ายเพชร รูปทรงกระบอก ทรงเหลี่ยม และรูปทรงแปลก ๆ การเคลื่อนที่แตกต่างกันไปทั้งอยู่นิ่ง ลอยขึ้นในแนวดิ่งหรือเคลื่อนที่ในแนวราบ บางที่มีให้เห็นนานเกือบ 12 นาที ในบางทีอาจได้ยินเสียงฟู่ หากพบในระยะใกล้ และบ่อยครั้งที่พบตามแหล่งน้ำ ข้อมูลทั้งภาพและข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังมีค่อนข้างน้อย มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป
ในปี พ.ศ. 2558 นี้ ชาวจังหวัดหนองคาย ในแถบอำเภอโพนพิสัย คาดว่าจะเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่กลางแม่น้ำโขง ในค่ำคืนของวันออกพรรษา คือวันที่ 27 ตุลาคม 2558 เหมือนดังเช่นปีที่ผ่านๆ มา  หากท่านประสงค์เดินทางไปเที่ยวชมความมหัศจรรย์ของแม่น้ำโขง บริเวณจังหวัดหนองคาย และ จังหวัดบึงกาฬ ควรรีบจองที่พักเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป








สารคดีท่องเที่ยว

ทุ่งโนนสน ยลดอกไม้งามใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง


สองข้างทางเดินมีมวลหมู่พฤกษาทะยานชูช่อออกดอกอวดสีสดใส ดุจกำลังรอคอยต้อนรับนักเดินทางต่างถิ่นชื่อเสียงของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงที่ตั้งอยู่ในเขตรอยต่อ 2 จังหวัด คือ จ.พิษณุโลก และ จ.เพชรบูรณ์ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบบรรยากาศแบบธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร เนื่องจากภายในอุทยานฯ มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อนสวยงามก่อเกิดเป็นจุดท่องเที่ยวหลายแห่ง รวมทั้งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสายก่อนที่จะไหลรินลงสู่แม่น้ำน่านต่อไปทุ่งโนนสน เป็นจุดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง


ทุ่งโนนสน ยลดอกไม้งามใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง


 ซึ่งมีความน่าสนใจแต่ทว่าน้อยคนนักจะได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัส เพราะว่าสถานที่แห่งนี้ยากต่อการเดินทางเข้าไปถึง ปัจจุบันยังคงต้องใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปเพียงวิธีเดียวจึงจะได้พบกับดินแดนธรรมชาติมหัศจรรย์ อันมีทุ่งหญ้าป่าเขียวและดอกไม้งามชูช่อเปล่งสีสันอวดโฉมงดงามเริงร่าในช่วงเวลาปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวอย่างช่วงเวลานี้ผมเริ่มต้นการเดินทางแบบสมบุกสมบันจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.12 บ้านรักไทย ในเขต อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นส่วนงานย่อยของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง สัมภาระจำเป็นและเสบียงอาหารถูกตระเตรียมให้พร้อมจากที่นี่ จากนั้นต้องใช้รถกระบะขับเข้าไปในเส้นทางทุรกันดารระยะทางประมาณ 8 กม. ผ่านไร่มันสำปะหลัง สวนยาง ของชาวบ้าน หากเป็นช่วงฤดูฝนการเดินทางสัญจรในเส้นทางนี้จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก จนถึงบ้านฐานแตกซึ่งในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นฐานที่ตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)


ทุ่งโนนสน ยลดอกไม้งามใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง





 ปัจจุบันมีสภาพเป็นเพียงเนินเขาที่ไม่มีร่องรอยอดีตแห่งความขัดแย้งหลงเหลือให้เห็นอยู่เลยจากบ้านฐานแตกคือจุดเริ่มต้นการเดินเท้า เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ให้ข้อมูลว่า เราต้องเดินเท้าระยะทาง 7.5 กม. เส้นทางในช่วงแรกมีลักษณะขึ้นลงเนินเขาสลับกันไป เป็นเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ต่อด้วยช่วงกลางและช่วงสุดท้ายจะเป็นลักษณะการเดินขึ้นเนินมีความลาดชัน โดยมีจุดพักเป็นระยะๆ รวมแล้วใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถือว่าเป็นเส้นทางสู่ทุ่งโนนสนที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด หากใช้เส้นทางจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.8 หนองแม่นา จะต้องเดินทางไกลถึง 31 กิโลเมตร โดยใช้รถยนต์กระบะเข้าไปส่งได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น และจากนั้นก็ต้องใช้วิธีเดินเท้าสู่ทุ่งโนนสนเช่นเดียวกัน การเดินทางจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.12 บ้านรักไทย จึงมีความสะดวกรวดเร็วกว่า ที่ผ่านมาเส้นทางสายนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาบ้างแล้ว แต่ก็ถือว่ายังไม่มากนัก จึงทำให้ธรรมชาติของทุ่งโนนสนยังมีความสมบูรณ์อยู่มากระหว่างการเดินทางผมฟังเจ้าหน้าที่เล่าถึงความสวยงามของท้องทุ่งหญ้าแบบสะวันนา ที่มีดอกไม้ป่าขึ้นเสียบแซมอวดสีสันพริ้วไสวตามสายลม ป่าสนสองใบ และสนสามใบ ที่กิ่งก้านหงิกงอเป็นศิลปะมีชีวิตจริงจากธรรมชาติบนเขาสูง บางช่วงเวลาที่พักเหนื่อยเรื่องราวตื่นเต้นของการพบสัตว์ใหญ่อย่างเช่น ช้าง ที่วิ่งผ่านกลางแค้มป์ไปอย่างหน้าตาเฉย ก็ทำให้ผมและคนอื่นๆ รู้สึกฮึกเหิมมีกำลังใจที่อยากจะเดินต่อเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย เส้นทางเดินป่าสายนี้แม้จะร้างราผู้ผ่านทางมาเนิ่นนาน แต่ว่ารอยทางยังคงมีให้เห็นเป็นไปสู่จุดหมาย หลายครั้งที่หอบกระหาย น้ำดื่มเพียงน้อยนิดถูกจิบราวกับเครื่องดื่มมีค่าราคาแพง นี่กระมัง ประโยชน์ของการเดินป่า ทำให้เราคุณค่าของสิ่งต่างๆ ใกล้ตัวผมคิดเสียงดังอยู่ในใจเวลาแห่งความเหนื่อยล้าผ่านไป 4 ชั่วโมง ผมเดินออกมาจากราวป่า ภาพแรกที่ได้เห็นคือต้นสนสูงใหญ่เรียงรายเต็มท้องทุ่งยอดของมันตัดกับท้องฟ้าใสที่มีเมฆขาวลอยคละคลุ้ง เบื้องล่างคือทุ่งหญ้าเริ่มกลายเป็นสีทองอร่าม อาการเหนื่อยหอบจางหายไปพร้อมๆ กับเม็ดเหงื่อเมื่อยามสัมผัสกับสายลมเย็น จุดตั้งแค้มป์ที่พักอยู่ทางด้านทิศเหนือของทุ่งโนนสน ดูเป็นทำเลที่เหมาะสมที่สุด แม้จะไม่มีห้องน้ำอำนวยความสะดวกแต่ทางเจ้าที่ได้จัดทำแบบชั่วคราวไว้ให้พอประทัง สถานที่แห่งนี้คงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย แต่สำหรับผู้มีใจรักในธรรมชาติแล้วที่นี่คงเป็นที่มหัศจรรย์สองข้างทางเดินมีมวลหมู่พฤกษาทะยานช่อดอกอวดสีสดใส ดุจกำลังรอคอยต้อนรับนักเดินทางต่างถิ่น ดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง กระดุมเงิน กระดุมทอง มีให้เห็นอยู่ดารดาษ เอื้องนวลจันทร์ หรือ เหลืองพิศมร สีเหลืองสด มีขึ้นอยู่มากมายบนลานหิน และหากสังเกตที่พื้นดินก็จะเห็นดอกหยาดน้ำค้างที่กำลังเบ่งบาน ซึ่งผมได้ใช้เวลาถ่ายภาพดอกหยาดน้ำค้างอย่างเพลิดเพลินอยู่เป็นเวลานาน


ทุ่งโนนสน ยลดอกไม้งามใจกลางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง




 ดอกเอนอ้ากลีบสีม่วงเกสรเหลืองอาจจะหาได้ไม่ยากในผืนป่าทั่วไปที่นี่มีให้เห็นอยู่มากมาย บางคนเชื่อว่าสามารถนำไปทำเป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับเอ็นได้อย่างดี เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไรผมไม่ทราบแน่ชัด คงต้องสอบถามผู้รู้ที่เคยลองจะดีกว่า นอกจากนี้แล้วยังมีพรรณไม้อีกหลายชนิดให้ชื่นชมความงดงาม เวลา 1-2 วันที่ได้อยู่บนทุ่งโนนสนคงดูเหมือนผ่านไปไวกว่าที่อื่นๆณ ที่แห่งนี้แม้ไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ แต่ก็ยังพอมีลำห้วยไหลรินน้ำใสที่ผุดขึ้นมาผิวดิน หล่อรวมเป็นทางน้ำผ่านลานหินตกสู่เบื้องล่างเป็นธารน้ำตกสายเล็ก ให้ได้ใช้ประโยชน์ดื่มกินและนำมาประกอบอาหารพ้นผ่านความหิวไปได้บ้าง สำหรับวันนี้ซึ่งถือเป็นวันแรกที่ได้เดินทางมาถึงทุ่งโนนสน แค้มป์ที่พักถูกจัดตั้งภายในเวลาอันรวดเร็ว เราเริ่มช่วยกันประกอบอาหารให้เสร็จก่อนแสงแห่งวันจะลับหายไป เรายังมีเวลาอีก 2 วัน ที่จะเก็บเกี่ยวภาพความประทับใจรอบตัวบนทุ่งโนนสน แต่ว่าเวลานี้สายลมเย็นต้นฤดูหนาวพัดเข้ามาให้รู้สึกสะท้านหวั่นเกรง คงอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ต้นหญ้า ดอกไม้ และหมู่ดาว จะได้เริ่มบรรเลงบทเพลงธรรมชาติให้นักเดินทางต่างถิ่นได้ฟังตลอดคืน